posttoday

ส่องกฎหมาย ยึด-อายัด 'คริปโต' ช่องทางฟอกเงิน - กระเป๋าตังค์ 'สแกมเมอร์'

20 ตุลาคม 2568

ส่องกฎหมาย ยึด-อายัด 'คริปโต' ในประเทศไทย อุดช่องทางฟอกเงิน ปิดกระเป๋าตังค์ 'สแกมเมอร์' หยุดยั้งอาชญากรออนไลน์

ภายใต้ยุคที่ “สินทรัพย์ดิจิทัล” กลายเป็นหนึ่งในช่องทางทำธุรกรรมการเงินที่รวดเร็วและไร้พรมแดนจึงมักถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงิน หรือกระเป๋าเงิน ของเหล่า อาชญากร ทุนเทา และ สแกมเมอร์

 

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีการวางมาตรการและกฎหมายเพื่อ ยึด-อายัดคริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ที่เชื่อมโยงกับการกระทำผิดกฎหมาย เช่น การหลอกลวงออนไลน์ การพนันผิดกฎหมาย หรือการฟอกเงินข้ามชาติ เพื่อปิดช่องทางการเงินของแก๊งสแกมเมอร์และขบวนการฟอกเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล

 

กรอบกฎหมายรองรับการอายัดคริปโต

1.พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ.2561

ให้อำนาจ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำกับดูแลผู้ให้บริการ เช่น ศูนย์ซื้อขาย (Exchange) และผู้รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (Wallet Provider) 

 

นอกจากนี้ก.ล.ต. ยังออกประกาศบังคับมาตรการตรวจสอบและ “ความรับผิดร่วม” ต่อความเสียหายลูกค้าในกรณีละเลยมาตรฐานความปลอดภัย ผู้ให้บริการ (exchange, custodian, gateway) ต้องส่งข้อมูลการทำรายการเมื่อมีคำร้องจาก ปปง./ตำรวจ และสามารถถูกเพิกถอนใบอนุญาตหากละเลยหน้าที่ตามข้อกำหนดเหล่านี้

 

2.พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

ให้อำนาจ ปปง. ในการสืบสวน การอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางการเงิน และสั่งยึดทรัพย์สินเพื่อการเอาคืนหรือริบตามกระบวนการทางอาญาและแพ่ง. บทบัญญัติที่สำคัญกำหนดกรอบการร้องขอข้อมูลและอายัดทรัพย์สินที่มีความเชื่อมโยงกับการฟอกเงิน

แม้ พ.ร.บ. ปปง. จะถูกกำหนดขึ้นก่อนยุคคริปโต แต่กฎหมายมีขอบเขตครอบคลุม ทรัพย์สินและการไหลของมูลค่า ทำให้สามารถตีความบังคับใช้กับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นตัวกลางการฟอกเงินได้  โดยอาศัยการร่วมมือทางเทคนิคและข้อมูลจากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (VASP) เช่น การขอข้อมูล KYC/AML และการติดตามการโยกย้ายเหรียญดิจิทัล

 

วิธีการอายัด - ยึด "เหรียญคริปโต" ในทางปฏิบัติ 

1.การระบุพฤติกรรมต้องสงสัย (red flags)

เช่น การฝาก-ถอนจำนวนมากในเวลาสั้น, กระเป๋าที่รับเหรียญจากแหล่งเดียวกันเป็นชุด, หรือการเคลื่อนไหวแบบ “เงินเข้า และ ออกทันที” ซึ่งเป็นลักษณะของบัญชีม้า 

 

2.คำสั่งอายัด (freezing) ต่อ VASP/Exchange 

ปปง. หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกคำสั่งให้ผู้ประกอบการระงับรายการที่เกี่ยวข้องและเก็บหลักฐาน (on-chain traces + KYC) เพื่อไม่ให้เหรียญถูกย้ายออกก่อนการพิจารณา

 

3.การติดตาม on-chain และการจับคู่กับ off-chain data 

ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์บล็อกเชน (blockchain analytics) ร่วมกับข้อมูล KYC/ธนาคาร เพื่อเชื่อมโยงที่มาที่ไปของสินทรัพย์ดิจิทัล

 

4.ความร่วมมือข้ามหน่วยงานและเอกชน 

ก.ล.ต. ธปท. ปปง. ตำรวจไซเบอร์ และผู้ประกอบการคริปโตทำงานร่วมกันเพื่อสกัดบัญชีม้าและสแกมเมอร์ 

ภาพประกอบ

สถานะเชิงสถิติ - ตัวอย่างการอายัด/สกัดบัญชีม้า

ก.ล.ต. รายงาน ข้อมูล ณ วันที่ 31 ส.ค. 2568ในช่วง 8 เดือนของปี 2568 ได้อายัดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ “บัญชีม้า” กว่า 31,216 บัญชี มูลค่ารวมประมาณ 229 ล้านบาท โดยเป็นผลงานความร่วมมือกับ ธปท.-ปปง.-ตำรวจไซเบอร์-ผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัล  การดำเนินการสะท้อนการขยายขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายในโลกดิจิทัล

ปัญหาเชิงปฏิบัติและข้อจำกัดทางกฎหมาย

1.ความเป็นนิรนาม / กระเป๋าเงินนอกขอบเขต (self-custody & cross-chain mixers) 

รายงานจาก ก.ล.ต. ระบุว่า ผู้กระทำผิดใช้กระเป๋าที่ควบคุมโดย private key ส่วนตัว, ใช้บริการ mixing/tumbling, หรือโอนข้ามเชน (cross-chain bridges) ที่ทำให้การติดตามยากขึ้นทั้งหมดนี้ลดทอนประสิทธิผลของมาตรการอายัด

 

ผู้บริสุทธิ์โดนผลกระทบ : เจ้าของบัญชีที่ไม่รู้ตัวว่าถูกรับจ้างเป็น “บัญชีม้า” อาจถูกอายัดจนเกิดความเสียหายหรือปัญหาด้านสิทธิที่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์  เป็นปัญหาที่หน่วยงานต้องออกแนวปฏิบัติให้ชัดเจน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค 

 

ปัญหาข้ามพรมแดน : รายงานจาก ก.ล.ต. ยังระบุด้วยว่า เหรียญดิจิทัลที่ถูกย้ายไปยังต่างประเทศหรือไปยังแพลตฟอร์มที่ไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้การยึดทรัพย์มีข้อจำกัด ต้องอาศัยข้อตกลงระหว่างประเทศ/MLATs และการประสานงานกับผู้ให้บริการต่างประเทศ

 

มาตรการเสริมที่รัฐและเอกชนกำลังขับเคลื่อน

ก.ล.ต. : พัฒนาศักยภาพการวิเคราะห์บล็อกเชน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เพื่อระบุต้นทางของเงินและขัดขวางการโอนเหรียญที่เป็นผลมาจากสแกม/ฉ้อโกง

 

รัฐบาลเปิดเผยแนวคิดเชิงนโยบาย ระบุว่า มีการทบทวนกรอบกฎหมายเพื่อให้ครอบคลุมบริการแบบใหม่ (เช่น DeFi, cross-chain bridges) และการผลักดันกฎระเบียบที่เน้นการป้องกันตั้งแต่ต้นทาง (preventive freezing, stricter KYC)

 

ข้อเสนอเชิงนโยบายและคำแนะนำเชิงปฏิบัติ

 ก.ล.ต. : เร่งรัดการปรับปรุงกรอบกฎหมายให้ครอบคลุมเทคโนโลยีใหม่ เช่น การนิยามบริการ custody ข้ามพรมแดน และมาตรการควบคุมผู้ให้บริการกลาง (bridges/mixers) ทั้งเชิงป้องปรามและเชิงเทคนิค

 

ผู้ประกอบการคริปโต : ยกระดับระบบ AML/KYC, ใช้ blockchain analytics และมีช่องทางตอบรับคำร้องของหน่วยงานรัฐอย่างโปร่งใส เพื่อป้องกันการถูกใช้เป็นช่องทางฟอกเงินและลดความเสี่ยงทางกฎหมาย

 

สำหรับประชาชน-ผู้ใช้บริการ : ระวังการให้ข้อมูลบัญชีหรือให้ผู้อื่นใช้บัญชีของตน ตรวจสอบแหล่งที่มาของงาน/การชักชวนที่เกี่ยวกับการ “รับจ้างรับเงิน/แลกเปลี่ยน” และหากพบธุรกรรมผิดปกติ ให้ติดต่อธนาคารหรือผู้ให้บริการทันที

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”