ผบ.เหล่าทัพ เห็นชอบปิดด่านชายแดนกัมพูชา จนกว่าสถานการณ์สงบ
“ผบ.เหล่าทัพ” เห็นชอบปิดด่านจนกว่า “กัมพูชา” สิ้นสภาพภัยคุกคามต่อไทย เดินหน้าทำรั้วชายแดนในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว
KEY
POINTS
- ผู้บัญชาการเหล่าทัพมีมติเห็นชอบให้คงการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาต่อไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
- ที่ประชุมประเมินว่ากัมพูชายังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ จึงมีมาตรการสร้างรั้วชายแดนเพิ่มเติม
- มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติโดยใช้กฎการใช้กำลังสากล (ROE) เพื่อตอบโต้การกระทำที่เป็นปรปักษ์หรือการละเมิดอธิปไตย
กองบัญชาการกองทัพไทย จัดการประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหาร (คบท.) ครั้งที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และเสนาธิการทหาร โดยการประชุมครั้งนี้ ได้เรียนเชิญคณะผู้บัญชาการทางทหารชุดใหม่เข้าร่วมประชุมด้วย
ก่อนการเริ่มประชุม พลเอกทรงวิทย์ ได้ขอให้ผู้เข้าร่วมประชุมยืนไว้อาลัย ทหาร 15 นายที่เสียชีวิต รวมถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์จากเหตุปะทะชายแดนไทยกัมพูชา
ทั้งนี้ ในที่ประชุมได้หารือประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นดังนี้
1. การปิดจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดย ที่ประชุม คบท. เห็นชอบให้คงสภาพปัจจุบันในการปิดด่าน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือกัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทยอีกต่อไป
2. เห็นว่าปัจจุบันกัมพูชายังถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ จึงจัดทำรั้วชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีข้อสรุปสำหรับการสร้างรั้วชายแดน เห็นควรสร้างในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว สำหรับในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จะใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่องรวมทั้งให้มีการสร้างเส้นทางยุทธวิธีตลอดแนว
3. แนวทางดำเนินการต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย โดยมีข้อสรุปดังนี้ คือ การดำเนินการตามกฎการใช้กำลังสากล (ROE — Rules of Engagement) เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Act) หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Intent) โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ซึ่งตามกฎการใช้กำลัง สามารถใช้เป็นเหตุเริ่มการป้องกันตนเองได้ โดยได้วางมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ทั้งนี้ ได้นำเสนอแนวทางการปฏิบัติไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว
ขณะเดียวกัน ที่ประชุมฯ ได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบอากาศยานไร้คนขับ และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ ที่แต่ละเหล่าทัพได้ร่วมมือกับองค์กรต่างๆ พัฒนาขึ้น เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจทางทหารทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อพัฒนาไปสู่สายการผลิต อันจะนำไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน และสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของ


