บังคับใช้ทันที! ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ต้องเปิดโซเชียล ให้ตรวจสอบ
สถานทูตสหรัฐฯ เพิ่มมาตรการคัดกรองเข้ม! ยื่นขอวีซ่าชั่วคราว ต้องตั้งค่าโซเชียลมีเดียเป็น "สาธารณะ" ทั้งหมด หากพบเนื้อหาไม่เหมาะสม ปฏิเสธวีซ่าทันที
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เผยว่า ผู้สมัครวีซ่าชั่วคราวประเภท F, M หรือ J ต้องปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดเป็นแบบ “สาธารณะ”สำหรับการตรวจสอบข้อมูลที่จำเป็นในการยืนยันตัวตนและคุณสมบัติในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาภายใต้กฎหมายของสหรัฐฯ โดยข้อกำหนดนี้มีผลบังคับใช้ทันที
มาตรการคัดกรองวีซ่าที่เข้มข้นขึ้น สืบเนื่องมาจากการที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ออกประกาศแจ้งเตือนการเดินทางฉบับปรับปรุงใหม่ในเดือนมิถุนายน ซึ่งมี 4 ประเทศที่ถูกยกระดับคำเตือนให้สูงกว่าระดับปกติที่ให้ใช้ความระมัดระวังทั่วไป
- อิสราเอล: ระดับ 4 (ห้ามเดินทาง - Do Not Travel)
- สาธารณรัฐโดมินิกัน: ระดับ 2 (เพิ่มความระมัดระวัง - Exercise Increased Caution)
- อินเดีย: ระดับ 2 (เพิ่มความระมัดระวัง - Exercise Increased Caution)
- โมซัมบิก: ระดับ 2 (เพิ่มความระมัดระวัง - Exercise Increased Caution)
ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ เงื่อนไขใหม่ที่ต้องรู้
สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้ประกาศข้อกำหนดใหม่ที่มีผลบังคับใช้ทันที โดยระบุว่าผู้สมัครวีซ่าประเภท F, M หรือ J ต้องปรับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของบัญชีโซเชียลมีเดียทั้งหมดให้เป็นแบบ “สาธารณะ” (Public) เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบข้อมูลที่จำเป็นในการยืนยันตัวตนและคุณสมบัติได้อย่างละเอียด
คำสั่งใหม่นี้ระบุชัดเจนว่า การตรวจสอบประวัติของผู้สมัครวีซ่าจะครอบคลุม "ทุกการแสดงตัวตนบนโลกออนไลน์" ไม่ใช่แค่กิจกรรมบนโซเชียลมีเดียเท่านั้น เจ้าหน้าที่สามารถใช้เครื่องมือค้นหาหรือแหล่งข้อมูลออนไลน์อื่น ๆ ที่เหมาะสม เพื่อตรวจสอบประวัติของผู้ยื่นคำขอวีซ่าประเภทนี้ได้อย่างละเอียด
แพลตฟอร์มที่ครอบคลุม: มาตรการนี้ครอบคลุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, TikTok, Twitter (X), YouTube, LinkedIn และอื่น ๆ
สิ่งที่เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบ: เจ้าหน้าที่จะเข้าถึงและตรวจสอบพฤติกรรมออนไลน์ของผู้ขอวีซ่าอย่างละเอียด ตั้งแต่โพสต์, คอมเมนต์, การแชร์, ท่าทีต่อวัฒนธรรมและรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงเนื้อหาที่แสดงออกถึงความรุนแรง, ความเกลียดชัง, แนวคิดสุดโต่ง หรือการต่อต้านชาวต่างชาติ เช่น Antisemitism
ในการตรวจสอบคำขอวีซ่า เจ้าหน้าที่สถานทูตจะพิจารณาข้อมูลที่อาจบ่งชี้ถึงทัศนคติเชิงลบหรือการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ซึ่งอาจไม่เหมาะสมหรือไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐอเมริกา
หากพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมบนโซเชียลมีเดีย แม้ว่าเอกสารอื่น ๆ ของผู้สมัครจะครบถ้วนและมีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนด ก็อาจเป็นเหตุผลให้ถูกปฏิเสธวีซ่าได้ทันที
ยกตัวอย่างเช่น หากผู้สมัครเคยแสดงการสนับสนุนกลุ่มฮามาส หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มฮามาสบนโซเชียลมีเดีย กรณีเช่นนี้อาจส่งผลให้ไม่ผ่านการพิจารณาอนุมัติวีซ่าได้
ขณะที่ การตั้งค่าบัญชีเป็นส่วนตัว (Private) จะถูกมองว่ามีเจตนาจงใจปกปิดข้อมูล และจะเพิ่มความเสี่ยงสูงที่วีซ่าอาจถูกปฏิเสธ โดยครอบคลุมวีซ่าชั่วคราวประเภท F-1 (วีซ่านักเรียนสำหรับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย), M-1 (วีซ่าสำหรับเรียนสายอาชีพ) และ J-1 (วีซ่าสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนต่าง ๆ)


