"นฤมล" ประกาศจุดแข็งภาคเกษตรไทย ดัน "ระบบอาหารคาร์บอนต่ำ"
"รมว.เกษตรฯ 'นฤมล' ลั่น! ไทยพร้อมเป็นผู้นำด้านระบบอาหารคาร์บอนต่ำบนเวทีโลก ชูจุดแข็งภาคเกษตรยั่งยืน มุ่งหน้าสู่การเป็นครัวของโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม"
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนระบบอาหารโลกสู่ความยั่งยืน พร้อมประกาศความพร้อมในการผลักดัน "ระบบอาหารปล่อยคาร์บอนต่ำ"
บนเวที First Movers Coalition (FMC for Food) Regional Meeting ซึ่งจัดโดย World Economic Forum ณ โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และคณะเจ้าหน้าที่เข้าร่วม
ประเทศไทย: ศูนย์กลางเกษตรกรรมยั่งยืนระดับโลก
ศ.ดร.นฤมล เผยว่าในฐานะประเทศเกษตรกรรมชั้นนำ ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ ระบบอาหารอัจฉริยะด้านภูมิอากาศ (climate-smart food system) ซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม
แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล พร้อมชูศักยภาพความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริม สินค้าเกษตรยั่งยืน สร้างมาตรฐานร่วม ระบบติดตามย้อนกลับ และกลไกการเงินที่เหมาะสม เพื่อสร้างระบบอาหารแห่งอนาคตที่แข็งแกร่ง ครอบคลุม เป็นธรรม และปล่อยคาร์บอนต่ำ
First Movers Coalition for Food: รวมพลังลดคาร์บอนในภาคเกษตร
การประชุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความริเริ่ม First Movers Coalition for Food (FMC for Food) ที่เปิดตัวโดย World Economic Forum เมื่อเดือนธันวาคม 2566 โดยมีเป้าหมายหลักในการรวมพลังความต้องการของตลาด (aggregated demand) เพื่อเร่งการผลิตสินค้าเกษตรที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยมุ่งเน้น 6 ชนิดสินค้าเกษตรหลักที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 70% จากระบบอาหารโลก ได้แก่ ข้าว พืชไร่ เนื้อวัว นม ถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์ม
ปัจจุบัน เครือข่าย FMC for Food ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว มีพันธมิตรมากกว่า 50 ราย ครอบคลุม 4 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ เนื้อวัว นม ข้าว และพืชไร่ (รวมถึงข้าวสาลี ถั่วเหลือง และข้าวโพด)
โดยมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและแนวทางการผลิตที่ยั่งยืน รวมถึงสร้างผลประโยชน์ร่วมอื่นๆ เช่น เพิ่มผลผลิต ประหยัดน้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร
"Thai Rice NAMA" ต้นแบบความสำเร็จสู่ "Thai Rice: Strengthening Climate-Smart Rice Farming Project"
ศ.ดร.นฤมล ยังได้ยกตัวอย่างความสำเร็จจากโครงการ Thai Rice NAMA ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการปลูกข้าวแบบปล่อยคาร์บอนต่ำสามารถสร้าง "ผลประโยชน์สามด้าน"
ได้แก่ เพิ่มรายได้เกษตรกร ประหยัดน้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านเทคนิค การปลูกแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ซึ่งเข้าถึงเกษตรกรกว่า 25,000 รายใน 6 จังหวัดภาคกลาง
ล่าสุด ประเทศไทยกำลังก้าวสู่ระยะใหม่ด้วยโครงการ "Thai Rice: Strengthening Climate-Smart Rice Farming Project" มูลค่า 118 ล้านยูโร โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Green Climate Fund, กระทรวงความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และพันธมิตรภาคเอกชนชั้นนำ
เช่น Mars, Olam Agri, PepsiCo และ Ebro Foods เพื่อสนับสนุนเกษตรกรกว่า 250,000 ราย ให้เข้าถึงและใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะด้านภูมิอากาศ
มุ่งมั่นขับเคลื่อนอนาคตเกษตรกรรมยั่งยืน
ศ.ดร.นฤมล กล่าวทิ้งท้ายว่า "ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุก นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เกษตรกร และภาคธุรกิจ
เพื่อพัฒนาระบบเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยให้สามารถเติบโตได้ในเศรษฐกิจสีเขียว ขอให้การประชุมในวันนี้เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงร่วมกันในการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารสู่ความยั่งยืนเพื่อคนรุ่นต่อไป"


