รู้เท่าทันก๊าซเรดอน ภายหลังเหตุแผ่นดินไหว แทรกผ่านรอยร้าวอาคาร
ผู้เชี่ยวชาญจุฬาฯ แนะเฝ้าระวังก๊าซเรดอนหลังแผ่นดินไหว อาจแทรกซึมจากพื้นดินผ่านรอยแยกเข้าสู่อาคาร เตือนหากสูดดมนานเสี่ยงเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งปอด
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 แรงสั่นสะเทือนส่งผลต่อประเทศไทยทำให้เกิดความเสียหายของอาคารต่าง ๆ โดยเฉพาะเขตเมืองที่ตั้งอยู่บนชั้นดินอ่อนอย่างกรุงเทพมหานคร ย่อมมีโอกาสที่รอยแยกใต้พื้นดินจะเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคืออาจส่งผลให้ก๊าซเรดอนที่อยู่ใต้พื้นดินฟุ้งกระจายเข้าสู่ที่อยู่อาศัยและอาคารต่าง ๆ เพิ่มขึ้นได้
อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพจากก๊าซเรดอน ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ควรติดตามและเฝ้าระวัง
รวิวรรณ กฤษณานุวัตร์ ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เผยว่า เรดอน (Radon) เป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่อยู่ในเปลือกโลก เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียมในดินและหิน โดยปกติจะฟุ้งกระจายผ่านรอยร้าวของพื้นดิน รอยแยกในอาคารและพื้นบ้านเข้าสู่บรรยากาศโดยมีคุณสมบัติไม่มีสี กลิ่น หรือรส ทำให้มนุษย์ไม่สามารถรับรู้ได้โดยตรง
แม้จะไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส แต่ก๊าซชนิดนี้กลับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด โดยถือเป็นสาเหตุอันดับสองรองจากการสูบบุหรี่
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวต่อก๊าซเรดอนจนเกินควร เนื่องจากโรคมะเร็งปอดนั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ใช่เพียงก๊าซเรดอนเพียงอย่างเดียว
“เมื่อเราหายใจเอาก๊าซเรดอนเข้าไป เรดอนจะเกิดการสลายตัวให้รังสีแอลฟาและเกิดเป็นธาตุกัมมันตรังสีตัวใหม่ซึ่งมีสถานะเป็นของแข็งและสลายตัวให้ธาตุกัมมันตรังสีลูกหลานต่อไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นธาตุตะกั่วซึ่งเป็นธาตุเสถียรและสะสมอยู่ในถุงลมปอด เป็นผลให้เซลล์ที่ปอดจะได้รับอันตรายจากทั้งรังสีแอลฟาและพิษตะกั่ว ซึ่งจะนำไปสู่การทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้”
ระดับความเข้มข้นของก๊าซเรดอนที่เข้าสู่อาคารนั้นแตกต่างกันไปตามชนิดของวัสดุและระดับความสูงของพื้นที่ภายในอาคาร โดยพื้นที่ชั้นล่างที่อยู่ติดกับพื้นดินมักมีค่าความเข้มข้นสูงกว่าชั้นบน ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรดอนโดยเฉลี่ยทั่วโลกภายในอาคารอยู่ที่ 40 Bq/m³ หากมีค่ามากกว่า 160 Bq/m³ จะถือว่าเป็นระดับที่มีความเสี่ยง ส่วนค่าก๊าซเรดอนภายนอกอาคารอยู่ที่ประมาณ 10 Bq/m³
“แม้แต่ในพื้นที่เดียวกัน ปริมาณก๊าซเรดอนที่ระดับพื้นดิน ใต้ดิน หรือที่ระดับชั้นต่างกันของอาคารก็มีปริมาณแตกต่างกัน ชั้นล่างของบ้าน อย่างชั้นใต้ดินและชั้น 1 มีแนวโน้มจะมีปริมาณก๊าซเรดอนมากที่สุด ดังนั้น หากตามพื้นที่มีรอยแตก รอยต่อ อาจทำให้ก๊าซเรดอนสามารถแพร่เข้ามาได้ในอาคารบ้านเรือนได้"
ป้องกันเปิดหน้าต่าง มีช่องระบายอากาศ
รศ.นเรศร์ จันทน์ขาว ภาควิชาวิศวกรรมนิวเคลียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ แนะนำถึงการป้องกันอันตรายจากก๊าซเรดอนว่า สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ก่อนที่เหตุการณ์ผิดปกติจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะในที่อยู่อาศัยซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสะสมของก๊าซภายในอาคาร
แนวทางพื้นฐานที่สามารถทำได้ทันที คือ การเปิดหน้าต่างหรือช่องระบายอากาศให้มีการถ่ายเทอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในพื้นที่ชั้นล่างหรือบริเวณที่ติดกับพื้นดิน ซึ่งมีแนวโน้มที่ก๊าซเรดอนจะแพร่ผ่านเข้ามาได้มากกว่าชั้นบน
“การเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศเป็นประจำจะช่วยลดการสะสมของก๊าซเรดอนได้ หากเกิดพบรอยแตกหรือรอยร้าวบริเวณพื้นหรือผนังบ้าน ควรเปิดหน้าเพื่อระบายอากาศ และรีบซ่อมแซมรอยแตกหรือรอยร้าวต่างๆ ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ก๊าซเรดอนจากพื้นดินหรือจากพื้นผิวของรอยแตกแพร่ผ่านเข้ามาภายในบ้านได้”
ในกรณีของบ้านที่มีใต้ถุนหรือยกพื้นสูง ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงในการรับก๊าซเรดอนจากพื้นดินโดยตรง แนวทางป้องกันที่ทำได้ง่ายและใช้ต้นทุนไม่สูง คือการใช้วัสดุปิดพื้น เช่น เสื่อน้ำมัน หรืออุปกรณ์ปูพื้นที่หาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้างทั่วไป ปูทับบริเวณพื้นดินใต้ถุนบ้าน เพื่อช่วยลดการแทรกซึมของก๊าซขึ้นสู่พื้นที่ใช้งานภายในบ้าน
รศ.นเรศร์ ให้ข้อเสนอเชิงนโยบายว่า ในระดับประเทศควรมีการพัฒนาเครือข่ายสำหรับศึกษาความสัมพันธ์ของการเกิดแผ่นดินไหวควบคู่กับการตรวจวัดก๊าซเรดอนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) เพื่อเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ และจัดให้มีระบบเครือข่ายการเฝ้าระวังที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยยกระดับความพร้อมในการเผชิญเหตุและป้องกันภัยพิบัติในอนาคตอย่างยั่งยืน