"สุวัจน์" ภูมิใจ 30 ปีขับเคลื่อนอุทยานธรณีโคราชสู่มรดกโลก
“สุวัจน์” ภูมิใจเป็นผู้จุดประกายและขับเคลื่อนอุทยานธรณีโคราช จาก 30 ปีของการเดินทางไม้กลายเป็นหิน สู่ UNESCO Global Geopark มรดกแห่งความภาคภูมิใจของคนโคราชและคนไทยทั้งชาติ
นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา กล่าวในพิธีเปิดการประชุมทางวิชาการเครือข่ายอุทยานธรณีประเทศไทย ครั้งที่ 2 และมหกรรมจีโอพาร์ค และฟอสซิล 2023 ว่า
กว่าจะมาถึงวันที่โคราชได้รับการรับรองให้เป็นอุทยานธรณีโลก ใช้เวลาเกือบ 30 ปีสู่ความสำเร็จ จากไม้กลายเป็นหินที่วัดบ้านโกรกเดือนห้า ตำบลสุรนารี ที่ท่านเจ้าอาวาสเก็บรักษาไว้มากมาย ตอนนั้นผมได้มาทำบุญทอดผ้าป่าบูรณะศาลาวัด แล้วท่านได้มอบไม้กลายเป็นหินให้ผมแทนที่จะขายให้ภาคเอกชน ผมก็ได้มอบไม้กลายเป็นหินให้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยอาจารย์ประเทือง จินตสกุล นั่นเป็นจุดเริ่มต้น
หลังจากนั้น ผมมาเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม และเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยได้รับมอบที่ดินจากกํานันตําบลสุรนารี เพื่อมาจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน โดยกรมทรัพยากรธรณีและเมืองแร่ เป็นผู้รับผิดชอบพิพิธภัณฑ์เรื่องไดโนเสาร์ ในภาคอีสานได้เห็นความสำคัญของการพบฟอสซิล จึงได้จัดสรรงบประมาณมาก่อสร้างอาคาร ที่ทำการของพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน เพื่อทำการศึกษาวิจัยและต่อยอดค้นคว้าด้านอื่นๆ โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏ ได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินให้เป็นหน่วยงานในสังกัดของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จึงนับได้ว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏ แห่งเดี่ยวที่มีความรับผิดชอบเรื่องงานวิจัยด้านฟอสซิล โดยมีอาจารย์ประเทืองจินตสกุล เป็นผู้รับผิดชอบ
ต่อมาพิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหินก็ได้มีการยกฐานะขึ้นเป็นสถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหิน เมื่อปี 2547 ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏในฐานะที่กํากับดูแลหน่วยงานนี้ ได้ต่อยอดในเรื่องของงานวิจัยจนได้พบซากดึกดำบรรพ์มากมายที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ บริเวณบ่อทรายลำน้ำมูล อาทิเช่น ซากช้างโบราณ ไดโนเสาร เต่า หมู ปลาทำให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของฟอสซิลต่างๆ จึงได้ขยายการค้นคว้าวิจัยไปยัง 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเฉลิมพระเกียรติ ขามทะเลอสอ สีคิ้ว สูงเนิน และได้มีการพัฒนาร่วมกับหน่วยงานราชการต่างๆ ในจังหวัดนครราชสีมา จนมีการจัดตั้งอุทยานธรณีโคราช และเมื่อปีที่แล้วมีการเสนอยูเนสโก เพื่อพิจารณาอุทยานธรณีโลก และจนกระทั่งวันนี้ จึงมีการประกาศรับรองอุทยานธรณีโคราชเป็นอุทยานธรณีโลก
จากผลการประชุมคณะกรรมการบริหารองค์การยูเนสโก ครั้งที่ 216 (216th session of the Executive Board) จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 10-24 พฤษภาคม 2566 ที่องค์การยูเนสโก สำนักงานใหญ่ กรุงปารีสสาธารณรัฐฝรั่งเศส ได้มีมติรับรองให้ “โคราชจีโอพาร์ค” เป็น UNESCO Global Geopark หรือ “อุทยานธรณีโลก” ประกาศเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 ส่งผลจังหวัดนครราชสีมา เป็น Korat The UNESCO Triple Heritage City ( เมือง 3 มรดกโลกของยูเนสโก) ประกอบด้วย 1.มรดกโลก (World Heritage) ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ 2.พื้นที่สงวนชีวมณฑลป่าสะแกราช และ 3.โคราชจีโอพาร์ค (KHORAT Geopark) และถือเป็นเมืองที่ 4 ของโลก ต่อจาก เกาหลีใต้ และจีน ที่มีดินแดนแห่ง “3 มงกุฎของยูเนสโก” ในจังหวัดเดียวกัน
นอกจาก ประโยชน์ทางด้านวิชาการแล้ว ต้องพูดถึงประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจด้วย เพราะวันนี้เรากําลังมีวิกฤตเศรษฐกิจ เรากําลังเจอกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า สงครามจริงๆ สงครามเทคโนโลยี สงครามการเงิน เงินดิจิทัลต่างๆ น้ํามันแพง สิ่งต่างๆ พวกนี้กําลังเกิดความผันแปรที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในเรื่องระบบเศรษฐกิจ
ฉะนั้น ประเทศไทยต้องหาตัวตนเราให้เจอว่าวันนี้ถ้าเราจะต่อสู้กับเรื่องเศรษฐกิจ อะไรคือจุดแข็งของเรา แล้วเอาจุดแข็งตรงนั้น มาเป็นแพลตฟอร์ม ใหม่ทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งวันนี้จุดแข็งของประเทศไทย
คือ วัฒนธรรมของชาติ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว เป็นเรื่องของ soft power และการที่เราได้มีอุทยานธรณีโลก มีพื้นที่สงวนชีวมณฑล มีพื้นที่มรดกโลกที่เขาใหญ่ เราสามารถที่จะคิดต่อยอดให้เกิดย่านการท่องเที่ยวของโลกในประเทศไทย อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา
นายสุวัจน์ ย้ำว่าวันนี้การท่องเที่ยวเป็นเศรษฐกิจที่สําคัญ ที่ก่อให้เกิดความอยู่รอด ของเศรษฐกิจของประเทศไทย GDP ของประเทศไทยปีหนึ่ง 16 ล้านล้านบาท แต่การท่องเที่ยวอย่างเดียวสร้างเม็ดเงินประมาณ 3 ล้านล้านบาท ทั้งจากการท่องเที่ยวของคนไทยและการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาทจาก 16 ล้านล้านบาท เกือบ 20% คือ ความเข้มแข็งและมีการเติบโตสูงมาก
ฉะนั้น ต่อไปประเทศไทยจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีหลานย่าน อาทเช่น ภาคใต้ ย่านอันดามัน ประกอบด้วย ภูเก็ตพังงาน กระบี่ ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ประกอบด้วย ชลบุรี บางแสน ศรีราชา พัทยา ระยอง จันทบุรี เกาะช้างเป็นย่านท่องเที่ยวทางด้านภาคตะวันออก ส่วนชายฝั่งทะเลฝั่งอ่าวไทย ตั้งแต่เพชรบุรีลงไปชะอํา หัวหิน ประจวบชุมพร ระนอง เป็นย่านไทยแลนด์ ริเวียร่า
และต่อไปนี้ เรากำลังจะมีย่านการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศที่ทั่วโลกต้องรู้จัก คือ “ย่านยูเนสโก” ของจงหวัดนครราชสีมาเพราะมีสามมรดกโลกอยู่ในพื้นที่ติดกันคือ 1.เขาใหญ่ ปากช่อง 2.แหล่งพื้นที่สงวนชีวมณฑลปักธงชัย และอีก 5 อําเภอ คือ อำเภอเมือง สีคิ้ว เฉลิมพระเกียรติ ขามทะเลสอ สูงเนิน สรุปแล้ว 7 อําเภอของเมือง 3 มรดกโลกเป็นพื้นที่ติดกัน และที่จังหวัดนครราชสีมา มีโครงพื้นฐานทางด้านการคมนาคมที่เข้มแข็งแกร่ง โคราชกําลังจะมีรถไฟความเร็วสูง จากกรุงเทพ-โคราช ถ้าเสร็จใช้เวลาเดินทาง 1 ชม.15 นาทีโครงการถไฟรางคู่ กรุงเทพ-โคราช ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง โครงการมอเตอร์เวย์ จากกรุงเทพ-โคราช ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ เมื่อผลักดันแล้วเสร็จจะนำนักลงทุน นักท่องเที่ยวมหาศาลเข้ามาจังหวัดนครราชสีมาก็จะเป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยและจังหวัดนครราชสีมา
ฉะนั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เกิดอุทยานธรณีโลกของยูเนสโก แล้วก็เกิดเมือง 3 มรดกโลกขึ้น ถ้าเราสามารถที่จะต่อยอดให้เกิดประโยชน์ทางด้านวิชาการ และเกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจจะเป็นความคุ้มค่า จะเป็นความภาคภูมิใจ เป็นความยั่งยืน เป็นประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปจากนี้ไปควรจะร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานราชการต่างๆ ในจังหวัดนครราชสีมา และรวมทั้งพี่น้องประชาชนชาวโคราชที่จะร่วมกันพัฒนาอุทยานธรณีโลก ให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป


