posttoday

มุมมองโบรกเกอร์รุ่นใหญ่ "หุ้นไทยถูกหิ้วปีก"

17 มกราคม 2561

ตลาดหุ้นไทยที่มีโมเมนตัมได้ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่โดดเด่นด้วยตัวเอง แต่เพราะโดนหิ้วปีกโดยตลาดหุ้นต่างประเทศที่พุ่งแรง

โดย...พูลศรี เจริญ

ตลาดหุ้นไทยยืนเหนือ 1,800 จุดอย่างแข็งแกร่ง เกิดจากความเชื่อมั่นที่นักลงทุนมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศว่าจะเติบโตดี โดยนักวิเคราะห์บางค่ายมองว่าปีนี้ได้เห็นดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ระดับ 1,900 จุด

การปรับขึ้นของหุ้นไทยครึ่งเดือนแรกของเดือน ม.ค. พบว่าได้เม็ดเงินลงทุนในประเทศหนุน ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 3-16 ม.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1.53 หมื่นล้านบาท ตามด้วยบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซื้อสุทธิ  5,637.63 ล้านบาท

ส่วนอีก 2 กลุ่มขายทำกำไร นำโดยนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1.18 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 9,250.25 ล้านบาท

สำหรับแรงขายของ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก็หักปากกาเซียนชนิดไม่ไว้หน้า

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยยอดเงินกองทุน LTF ไหลออกสุทธิ  6,895.21 ล้านบาท (3-12 ม.ค.) ขณะที่มีการคาดการณ์โดยอ้างสถิติในอดีตว่า ช่วง 2 สัปดาห์แรกของปี จะมีแรงขายออกมาเพื่อรองรับการไถ่ถอนเงินลงทุนที่ครบอายุประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากที่ครบอายุประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท 

มีมุมมองที่น่าสนใจของโบรกเกอร์ รุ่นใหญ่ “ก้องเกียรติ โอภาสวงการ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ ASP บอกว่าสาเหตุหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่เปิดปี 2561 มานี้ ก็เนื่องมาจากสภาพคล่องทั่วโลกที่ยังมีอยู่สูงมาก อีกทั้งเป็นการปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) ช้าที่สุดเมื่อเทียบตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชีย

ภาวะที่เกิดขึ้น ก้องเกียรติ ใช้คำว่า “หุ้นไทยถูกหิ้วปีก” ซึ่งหมายความว่าเราไม่ได้ดีจริงแต่ถูกลากขึ้น

“ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่มีแรงส่ง หรือมีโมเมนตัมได้ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าเราจะดีโดดเด่นด้วยตัวของเราเอง แต่เพราะโดนหิ้วปีกโดยตลาดหุ้นต่างประเทศที่พุ่งแรง และเงินกองทุนบ้านเราช่วยหนุน”

จากภาวะที่หุ้นไทยถูกหิ้วปีกนี้เอง ก้องเกียรติ มองว่ามีโอกาสปรับฐานระยะสั้นจากการขายทำกำไร เพราะดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงมากแล้ว และมีหุ้นหลายตัวราคาแพง เช่นเดียวกับที่หุ้นบางตัวก็ราคายังถูก นอกจากนี้พบว่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กบางตัวราคาแพง โดยมีราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พี/อี) สูงถึง 50 เท่า 

อย่างไรก็ตาม ปีนี้ทั้งปีโบรกเกอร์รุ่นใหญ่รายนี้ก็ยังมองว่าหุ้นไทยเป็นขาขึ้น เนื่องจากได้รับผลดีจากหุ้นกลุ่มพลังงานและถ่านหิน จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยส่วนตัวมองว่าต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจว่าจะเติบโตตามที่มีการคาดการณ์หรือไม่ 

ด้านกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2561 คาดว่าเติบโต 13% จากปีก่อนอยู่ที่ 4%

เมื่อถูกถามว่าจะได้เห็นดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นที่ระดับ 2,000 จุดหรือไม่ ก้องเกียรติ ตอบชัดว่า คงไม่ได้เห็น

สำหรับการลงทุนของเอเซีย พลัส ยังคงเน้นตลาดหุ้นต่างประเทศในตลาดใหญ่ๆ อย่างสหรัฐ จีน ฮ่องกง ยุโรป ญี่ปุ่น เวียดนาม นอกจากนี้จะลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพในอิสราเอลประมาณ 3-4 ราย

ด้าน “คมสันต์ ผลานุสนธิ์” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส ฉายภาพตลาดหุ้นเอเชียปีที่ผ่านมาว่า ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 40%  ขณะที่หุ้นจีนให้ผลตอบแทนสูงถึง 50% ด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) หุ้นทั่วโลกอยู่ที่ 83 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ 12 ม.ค. 2561) หรือคิดเป็น 110% ของจีดีพีโลก

สำหรับปี 2561 บลจ.แอสเซท พลัส คาดว่าจะมีเม็ดเงินใหม่หรือสภาพคล่องเข้ามาในตลาดการเงินโลก 6 แสนล้านดอลลาร์ ที่เกิดจากการอัดฉีดของธนาคารกลางทั่วโลก