ไทยพาณิชย์บุกค้าออนไลน์ เล็งยกระดับเอสเอ็มอีแสนราย

ไทยพาณิชย์จับมือกูเกิล พร้อมเชื่อมเอสซีบี อีซี่แอพ ขยายฐานลูกค้าเสริมแกร่งลูกค้ารายกลางและย่อม

นายอารักษ์ สุธีวงศ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ธนาคาร และกูเกิล แพลตฟอร์มระดับโลก ได้ตกลงเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มีหน้าร้านบนออนไลน์ให้ ผู้บริโภคค้นหาร้านได้ง่ายขึ้น ผ่านบริการกูเกิล มาย บิซิเนส ที่เชื่อมกูเกิลแมปนำทางไปเจอร้านได้รวดเร็ว

ทั้งนี้ ธนาคารได้พาลูกค้าเอสเอ็มอีใช้ กูเกิล มาย บิซิเนส แล้ว 1 แสนราย จากปัจจุบันมีฐานลูกค้าเอสเอ็มอี 4-5 แสนราย ตั้งเป้าหมายในปี 2563 ธนาคารจะขยายฐานลูกค้าเอสเอ็มอีได้เท่าตัว และพาลูกค้าเอสเอ็มอีปักหมุดบนแพลตฟอร์มกูเกิลเป็น 1 ล้านราย

นอกจากนี้ ความร่วมมือกับกูเกิล ในเฟสต่อไปภายในปีนี้ เตรียมเชื่อมระบบเข้ากับเอสซีบี อีซี่แอพ ให้โชว์การปักหมุดได้บนแอพโมบายของธนาคารด้วย เพื่อให้ลูกค้าเอสเอ็มอีสามารถยืนยันตัวตน กูเกิล มาย บิซิเนส ได้แทนการเข้าสาขาซึ่งทำได้ทุกที่ทุกเวลา

อย่างไรก็ดี ธนาคารไม่ได้วางเป้าหมายสินเชื่อเอสเอ็มอีจากการปักหมุดบนกูเกิล แต่จะมีประโยชน์ทางอ้อมจากข้อมูลความเคลื่อนไหวของลูกค้าบนออนไลน์ เช่น การตอบคำถามเร็ว การรีวิว นำมาประกอบการพิจารณาได้ และจะช่วยผลักดันการปล่อยสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันผ่านดิจิทัลเลนดิ้ง 1 หมื่นล้านบาทในปีนี้

"ธนาคารยังมองหาโอกาสปักหมุดให้ลูกค้าเอสเอ็มอีที่ค้าขายระหว่างประเทศด้วย โดยกำลังพูดคุยกับพันธมิตรระดับโลกรายหนึ่ง พาลูกค้าเอสเอ็มอีไทยโกอินเตอร์ไปตลาดโลก คาดว่าจะเห็นเป็น รูปธรรมในเวลาอันใกล้" นายอารักษ์ กล่าว

นายอารักษ์ กล่าวว่า จะหาพันธมิตรทางธุรกิจตามกลยุทธ์ Partnership Banking เพื่อหาโอกาสที่เสริมธุรกิจและการให้บริการลูกค้า ทั้งพันธมิตรด้านธุรกิจประกัน และธุรกิจเวลธ์แมนเนจเมนต์ ที่มีความคืบหน้ากับจูเลียสแบร์ในการตั้งบริษัทและผู้บริหารแล้ว อยู่ระหว่างพัฒนาระบบให้บริการลูกค้าไพรเวทแบงก์กิ้ง

ด้าน นายไมเคิล จิตติวาณิชย์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด กูเกิล ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่สมัคร กูเกิล มาย บิซิเนส เดิมกูเกิลจะส่งโปสการ์ดไปให้ ผู้ประกอบการยืนยันธุรกิจว่ามีตัวตนจริง

ทั้งนี้ ธุรกิจสามารถเวอริฟายตัวเองจากเจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วประเทศ ซึ่งเอสเอ็มอีช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 42% แต่มีผู้ประกอบการอยู่บนโลกออนไลน์เพียง 13% เท่านั้น จึงถือว่ายังมีช่องทางขยายตัวทางธุรกิจได้อีก