posttoday

กองทุนผลตอบแทนสูงกว่า ค่าเฉลี่ยของตลาดมีไหม

12 กรกฎาคม 2561

10 ปีก่อน วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าพ่อด้านการลงทุนของโลก ได้ทำการพนันกับบริษัทกองทุน

โดย...รุ่งโรจน์ แก้วกาญจนา

10 ปีก่อน วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าพ่อด้านการลงทุนของโลก ได้ทำการพนันกับบริษัทกองทุน Hedge Fund ที่ชื่อว่า Protégé สาระสำคัญคือ บัฟเฟตต์ จะลงทุนในกองทุนดัชนี S&P500 ซึ่งมีค่าธรรมเนียมต่ำ (แนว Passive Fund) และ Protégé Hedge Fund จะลงทุนในกองทุน 5 กองทุน ที่มีการปรับพอร์ตซื้อขายเพื่อเอาชนะตลาด (แนว Active Fund) ถ้าใครชนะจะได้เงินที่พนันไปแล้วเอาไปทำบุญ

ผ่านไปเกือบ 10 ปี สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผลตอบแทนจาก Passive Fund แนวการลงทุนที่จำลองดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทน ประมาณ 86% และ Active Fund ที่ปรับพอร์ตเพื่อพยายามชนะตลาด ให้ผลตอบแทน 22% สรุปได้ว่า Passive Fund ชนะแบบท่วมท้น ซึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้ Active Fund พ่ายแพ้ คือ ค่าธรรมเนียมที่สูงจากการปรับพอร์ตซื้อขายตลอดเวลาเพื่อเอาชนะตลาด

กลับมาดูในบ้านเราบ้าง ผมลองทำข้อมูลของกองทุนหุ้นในตลาดไทยเทียบกับอัตราผลตอบแทนดัชนี SET TRI (ดัชนี SET Index ที่รวมผลตอบแทนจากปันผลเข้าไปด้วย) มาดูว่ามีอยู่กี่กองทุนสามารถเอาชนะตลาดได้

ผลที่ออกมาคือ มีกองทุนหุ้นไทยทั้งหมด 144 กองทุนที่ก่อตั้งมาแล้ว 10 ปี ปรากฏว่า มีอยู่ 33 กองทุน ที่สามารถเอาชนะ ดัชนี SET TRI ได้ (เทียบเป็น 23% ของกองทุนทั้งหมด)

หมายความว่ายังมีกองทุนหุ้นแนว Active Fund ในประเทศไทยที่สามารถเอาชนะตลาดได้ประมาณ 23% และคนที่ลงทุนในกองทุนกลุ่มนี้ ถ้าผ่านไป 10 ปี จากเงินต้น 1 แสนบาท วางไว้เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเงินจะโตไปเป็น 3 แสนบาท ในระยะเวลา 10 ปี

กองทุนผลตอบแทนสูงกว่า ค่าเฉลี่ยของตลาดมีไหม

สาเหตุที่ทำให้กองทุน Active Fund ในบ้านเราบางกองยังทำผลงานได้ดีกว่าตลาด น่าจะมีสาเหตุมาจาก

1) ค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมบ้านเราไม่ได้สูงเหมือนของต่างประเทศ

2) สภาพตลาดหุ้นของบ้านเรายังมีหุ้นที่ซ่อนโอกาสการเติบโตสูงๆ ไว้ ทำให้ผู้จัดกองทุนที่มีความสามารถดีๆ สามารถเลือกหุ้นเหล่านี้มาอยู่ในพอร์ตและทำผลงานชนะตลาดได้ในระยะยาว

 การที่จะทำให้เงินต้นเราเติบโตสม่ำเสมอแบบนี้ได้ มีหลักเกณฑ์ง่ายอยู่ 3 ข้อ ที่คนทั่วๆ ไปทุกคนก็สามารถทำได้คือ

1) กระจายเงิน ให้ “เป็น” = อย่าใส่เงินไว้แค่ที่ใดที่หนึ่ง เช่น หุ้นเพียงไม่กี่ตัว หรือกองทุนเพียงไม่มีกองทุน

2) เลือกของให้ “ดี” = ต้องรู้วิธีวัดผลงานกองทุนที่เหมาะสม ก็คือ ดี และสม่ำเสมอ

3) ถือให้ “ยาว” = ถ้าเราคอยปรับพอร์ตอยู่ตลอดเวลา เราจะถูกข่าวในตลาดหลอกจนไม่สามารถทำให้เงินเราเติบโตได้