posttoday

ASW ปลื้ม “TRIS จัดอันดับองค์กรครั้งแรกระดับ BBB- แนวโน้ม “Stable”

01 กันยายน 2564

ASW ปลื้ม “TRIS จัดอันดับองค์กรครั้งแรกระดับ BBB- แนวโน้ม “Stable” ประเมินรายได้แตะระดับ 5-7 พันลบ.ต่อปี หนุนกำไรเติบโตได้อีก 3 ปีต่อเนื่อง

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) ผู้พัฒนาอสังหาฯ รุ่นใหม่ เติบโตด้วยกลยุทธ์ “Best Choice” เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (TRIS Rating ) ได้จัดอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “ BBB-” พร้อมด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “ คงที่ ” โดยประเมินว่าในอนาคต ASW มีแผนจะเพิ่มโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูงให้มากขึ้น และมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบให้ได้ประมาณ 30% ของมูลค่าโครงการทั้งหมดของบริษัท ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งทริสเรทติ้ง ประเมินว่าการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่น ในการปรับปรุงสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดได้ และในด้านรายได้ กำไรก็จะมีความผันผวนน้อยลงในอนาคต

ทั้งนี้ ทริสฯ ประเมินว่า จากการแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งอาจยิ่งเพิ่มความกดดัน อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ASW มียอดขายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.3 พันล้านบาทจาก ระดับ 2.5 พันล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดขายที่ดีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทำให้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 มูลค่ายอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 8.1 พันล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ที่ระดับประมาณ 2.9 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ประมาณ 2.8 พันล้านบาทในปี 2565 และประมาณ 2.4 พันล้านบาทในปี 2566 อีกทั้งBacklogที่ค่อนข้างสูงน่าจะช่วยรักษาระดับกำไรของบริษัทได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

สำหรับอันดับเครดิตดังกล่าว ยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดคอนโดมิเนียมระดับ Main Class ไปจนถึง Upper Class ที่เป็นกลุ่มหลักของบริษัท นั้นปรับตัวดีขึ้น โดยโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทภายใต้แบรนด์ “Kave” “Atmoz” และ “Modiz” นั้นเป็นที่ยอมรับเป็นอย่างดี ในกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยและกลุ่มคนวัยทำงาน

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสฯว่าบริษัทจะส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมต่าง ๆ ได้ตามแผนซึ่งน่าจะสร้างรายได้ที่ระดับ 5-7 พันล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2564- 2566 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากมูลค่ายอดขายรอรับรู้รายได้จำนวนมากและแผนการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าของบริษัท ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับมากกว่า 20% และถึงแม้จะมีแผนการขยายธุรกิจในเชิงรุก ทริสฯคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 50% - 55% ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นทริสฯยังประเมินว่าสภาพคล่องของบริษัทนั้นมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

"การจัดอันดับเครดิตในครั้งนี้เป็นการจัดอันดับองค์กรครั้งแรก และเรทติ้งที่ได้รับจะส่งผลดีต่อภาพรวมและความน่าเชื่อถือของบริษัทฯในการจัดหาแหล่งทุนที่มีต้นทุนต่ำเพิ่มเติมในอนาคต เพิ่มศักยภาพการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี" นายกรมเชษฐ์ กล่าว