posttoday

อดีตรมว.คลังแนะนายก ลาออกไปเถอะนะจ๊ะ!!

30 มิถุนายน 2564

อดีตรมว.คลังแนะนายก ลาออกไปเถอะนะจ๊ะ ชี้ล้มเหลวแก้ปัญหาความเป็นความตายทั้งโควิดและเศรษฐกิจ

นายสมหมาย ภาษี อดีต รมว.คลัง โพสต์เฟสบุ๊ก ว่า

"ผู้นำของประเทศที่ไร้ศรัทธาจากผู้คนจะยืนอยู่ได้อย่างไร ท่านทั้งหลายก็คงจะเห็นกันมามากต่อมากแล้ว ไม่มีใครจะฝืนศรัทธาของประชาชนได้ เพราะศรัทธาเป็นของบริสุทธิ์ ซื้อขายกันแบบซื้อเสียงไม่ได้

ผมได้ฟังข่าวจากสื่อว่า ผลการสำรวจของนิด้าโพลเมื่อเดือนมิถุนายน นี้ ปรากฏชัดว่า ผลการสำรวจความเชื่อถือในตัวท่านนายกรัฐมนตรีของไทยลดลงเหลือร้อยละ 19.32 ซึ่งต่ำมากสำหรับความเป็นผู้นำของประเทศ เมื่อเทียบกับช่วงธันวาคม 2563 ห่างกันแค่ 6 เดือน ดัชนีตัวนี้อยู่ที่ร้อยละ 30.32 ขอให้ทำใจเถอะครับ อย่าไปต่อว่าโพลที่ผู้คนเขาเชื่อถืออยู่นะครับ จะยิ่งเสียคนหนักเข้าไปอีก

มองย้อนไปในอดีต 50 ปี ไม่พบว่าผู้นำของไทยท่านใดจะเจอกับวิกฤตศรัทธาเหมือนหรือใกล้เคียงกับผู้นำท่านนี้ ยิ่งเทียบกับท่านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หรือป๋าเปรม ซึ่งได้รับใช้ประเทศชาติมาร่วม 8 ปี ที่คนไทยจดจำมิรู้ลืมแล้ว กลับเห็นความศรัทธาจากประชาชนตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจน สมัยป๋าเปรมนั้น ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตด้านเศรษฐกิจมากเหมือนกัน โดยเฉพาะด้านการเงินการคลังนับว่าหนักมาก เงินทุนสำรองแทบไม่มีเหลือ รัฐบาลต้องทำการลดค่าเงินบาทถึงสองครั้ง ประชาชนก็ยังยากจนเป็นส่วนใหญ่ แต่ปรากฎว่าป๋าเปรมท่านยิ่งอยู่ศรัทธายิ่งเพิ่ม ทำไมหรือ เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังมีกินและหาความสุขได้ ที่สำคัญไม่อึดอัดขุ่นแค้นใจต่อเนื่องเหมือนคนไทยสมัยนี้

สภาวะบ้านเมืองในปัจจุบันที่เห็นๆกันอยู่นี้ต้องประสบกับปัญหาหลัก 2 ประการ ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายด้วยกันทั้งคู่

ประการแรก คือ การระบาดของโควิด-19 ที่ตอนนี้รัฐบาลเอาแทบไม่อยู่ เตียงคนไข้ขาดแคลน บางโรงพยาบาลต้องขอบริจาคถุงห่อศพ น่าสมเพชมาก ยิ่งแก้ยิ่งระบาดมาก ยึดอำนาจบริหารแบบเบ็ดเสร็จมาก็แล้ว ทุ่มงบประมาณซื้อวัคซีนมากมายก็แล้ว แต่บริหารไม่เข้าท่าเพราะทำแบบบริหารกองทัพ ไม่สำเหนียกว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อน ตอนนี้พวกเชื้อกลายพันธุ์อย่างพันธุ์เดลต้าของอินเดียก็ได้ระบาดไปมากแล้ว นับวันคนตายมีแต่จะเพิ่ม เป็นแบบนี้จะไม่ให้คนด่ากันทั้งประเทศได้ยังไง

ประการที่สอง การฟุบตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องความเป็นความตายเช่นเดียวกับการระบาดของโควิด-19 เพราะภาคการผลิตด้านต่างๆ อาจจะยกเว้นด้านการเกษตร ล้วนแล้วแต่หดตัวและแห้งเหี่ยวกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการท่องเที่ยวและการบริการ เพราะเหตุที่เศรษฐกิจของไทยตามโครงสร้างที่เป็นอยู่เราพึ่งพาการท่องเที่ยวและบริการถึงหนึ่งในห้าของ GDP เมื่อผลผลิตหลักที่ค้ำจุนเศรษฐกิจและที่ก่อให้เกิดการจ้างงานเกิดวิกฤตจนลดต่ำสุดๆอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นการยากที่จะหาผลผลิตด้านอื่นเข้ามาทดแทนได้ ที่เห็นกระดี๊กระด๊ากับการส่งออกที่ขยายตัวถึง 41.59% ในเดือนพฤษภาคมนั้น มันเป็นการเพิ่มจากปีก่อนที่มียอดตกเหวไปแล้ว การเพิ่มนี้จึงเป็นตัวเลขที่จะสรุปว่าดีแล้วยังไม่ได้

การหดตัวอย่างมากของ GDP อันเนื่องมาจากการล่มสลายของภาคการท่องเที่ยวที่เป็นตัวหลักของการหารายได้เข้าประเทศ และเป็นสาขาหลักที่ก่อให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของการจ้างงานทั้งประเทศ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจึงมากกว่าเพื่อนบ้าน ยากที่จะพลิกฟื้นให้กลับคืนมาได้ในเร็ววัน

เห็นได้ชัดว่าแม้รัฐบาลทุกภาคส่วนจะทุ่มเทความสามารถไปผลักดันโครงการ Phuket Sandbox ขึ้นที่ภูเก็ต แต่ด้วยความไม่มั่นใจและเชื่อถือของประเทศที่มีนักท่องเที่ยวที่มีต่อประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างไทย ผสมกับสภาพของการจัดการเปิดรับนักท่องเที่ยวของประเทศเราที่ยังขมุกขมัว บวกด้วยความอืดอาดขาดความรู้จริงของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการท่องเที่ยวของไทย จะทำให้ความหวังแบบลมๆแล้งๆของรัฐบาลในเรื่องการเปิดการท่องเที่ยวครั้งนี้ได้ผลไม่ถึงครึ่งของที่คิดอย่างแน่นอน คอยดูได้ครับ ส่งผลให้นโยบายการเปิดประเทศใน 120 วัน เป็นไปได้ยาก

สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาที่เป็นความเป็นความตายทั้งสองประการที่กล่าวข้างต้น ถ้าไม่คิดถึงเรื่องการเมืองก็มี 2 อย่างเท่านั้น ประการแรก คือผู้นำที่บริหารประเทศเป็น กับประการที่สอง คือความสามารถในการหาเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งทั้งสองประการนี้ของไทยดูเหมือนว่าถึงทางตันหมดแล้ว ซึ่งบางสถาบันของประเทศอาจมองเห็นทางตันเช่นที่ว่านี้อยู่แล้ว เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ก็ได้ปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ให้ขยายตัวแค่ 1.8% และยังคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลา และอาจต้องรอถึงไตรมาส 1 ของปี 2566 กว่าจะฟื้นตัวได้ในระดับก่อนเกิดโควิด-19

ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์เนื่องในวันฉลองครบ 100 ปี ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นี้ อย่างน่าฟัง เชื่อได้ว่าเมื่อผู้นำอย่างเขาพูด คนจีนทั้งประเทศจะฟังอย่างตั้งใจและเชื่อด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า ยิ่งได้ฟังเป้าหมายข้อแรกในการบริหารประเทศต่อจากนี้ไปของท่านประธานาธิบดีจีนว่า “จะขจัดความยากจนของผู้คนในประเทศให้หมดไป” แค่นี้ก็ชัดเจนว่าของไทยเราถ้าไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้นำ อีกกี่ปีๆ ก็ไม่สามารถวางเป้าหมายแบบนี้ได้...ลาออกไปเถอะนะจ๊ะ!!"