posttoday

บิ๊กตู่ นัดระดมสมองภาคเอกชนชุดใหญ่ รับมือฟื้นฟูเศรษฐกิจ ดีเดย์ 13 เม.ย.นี้

10 เมษายน 2563

ภาครัฐ นัดระดมสมองภาคธุรกิจเอกชนชุดใหญ่ ในศูนย์ฯโควิด-19 เป็นครั้งแรก วันสงกรานต์ 13 เม.ย.นี้ รับมือกับสถานการณ์โควิด-19 หาวิธีฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยในเฟซบุค บัญชีชื่อ Paiboon Nalinthrangkurn ว่า ในวันที่ 13 เม.ย.นี้ ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ ภาครัฐนัดภาคธุรกิจเอกชนชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ระดมสมองเพื่อรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 พร้อมหาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ

สำหรับ ตลาดทุนไทย จะเสนอแนวทางให้รัฐ เริ่มเตรียมทำแผน “Exit Strategy” หรือ “กลยุทธการออกจากมาตราการ Lock-down” ไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันความโกลาหล และ สับสน ดังที่เกิดขึ้นในช่วงแรกๆ จากการใช้มาตรการ Lock-down ซึ่งจะต้องเตรียมคิด พร้อมวางแผนตั้งแต่ในขณะนี้ ว่าจะกลับไปเปิดเศรษฐกิจ (open up the economy) อย่างไร และ เมื่อไหร่

โดยเนื้่อหาในบัญชีเฟซบุค ดังกล่าว ยังระบุว่า ธุรกิจใดควรได้เปิดก่อน เปิดหลัง ธุรกิจใด ยังมีความเสี่ยง และ ควรออกกฎหมายให้ทุกคนใส่หน้ากากหรือไม่ ฯลฯ ขณะที่ ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุด คือ การระบาดรอบสอง หรือ รอบสาม โจทย์สำคัญของการทำ Exit Strategy คือ จะทำอย่างไรให้ไม่เกิดการระบาดอีกครั้ง หากต้องกลับไป Lock-down ประเทศอีกรอบ หรือ หลายรอบ จะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจ ภาครัฐเองก็ไม่น่าจะเหลือกระสุน หรือ Policy Space มากพอที่จะช่วยประคองเศรษฐกิจไปได้เรื่อยๆ

สำหรับ คณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจภาคเอกชน ในศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้มีมีคำสั่งนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา และในวันที่ 13 เมษายน นี้จะมีวาระแต่งตั้ง เรื่องแต่งตั้ง

ผมจะเสนอให้รัฐเริ่มเตรียมทำแผน “Exit Strategy” หรือ “กลยุทธการออกจากมาตราการ Lock-down” ไว้ล่วงหน้าเลย เพื่อที่จะได้ไม่สับสนอลหม่าน และโกลาหลเหมือนช่วงแรกๆ ของการใช้มาตรการ Lock-down

ต้องเตรียมคิด และวางแผนตั้งแต่ตอนนี้เลย ว่าจะกลับไปเปิดเศรษฐกิจ (open up the economy) อย่างไร เมื่อไหร่ ธุรกิจไหนควรได้เปิดก่อน เปิดหลัง ธุรกิจไหนยังมีความเสี่ยง ควรออกกฎหมายให้ทุกคนใส่หน้ากากหรือไม่ ฯลฯ

โดยปัจจัยเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุด คือ การระบาดรอบสอง หรือ รอบสาม ซึ่ง โจทย์สำคัญของการทำ Exit Strategy คือ จะทำอย่างไรให้ไม่เกิดการระบาดอีกครั้ง เพราะการต้องกลับไป Lock-down ประเทศอีกรอบ หรือหลายรอบ จะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจ ขณะที่ ภาครัฐเอง ก็ไม่น่าจะเหลือกระสุน หรือ Policy Space มากพอที่จะช่วยประคองเศรษฐกิจไปได้เรื่อยๆ