ลงทุนหุ้นเดือนพ.ย.ต้องระวังอะไรบ้าง แย่สุดดัชนีลงลึก 1,540 จุด
บล.ทรีนิตี้ แนะ 3 กลุ่ม หุ้นได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของกนง. หุ้นที่คาดว่ามีโอกาสถูกเลื่อนชั้นเข้าสู่ดัชนี MSCI และหุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SETTHSI รอบถัดไป
บล.ทรีนิตี้ แนะ 3 กลุ่ม หุ้นได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของกนง. หุ้นที่คาดว่ามีโอกาสถูกเลื่อนชั้นเข้าสู่ดัชนี MSCI และหุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SETTHSI รอบถัดไป
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนิตี้ คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยเดือนพฤศจิกายนแกว่งตัวในกรอบ 1,540 - 1,650 จุด โดยกรอบแนวต้านที่ 1,650 จุดคำนวณจากระดับ Forward PE 15.4 เท่า อิงกับ EPS ปี 2563 ที่ 107 บาท ส่วนกรอบแนวรับที่ 1,540 จุด คำนวณจากระดับ Forward PE 14.4 เท่า อิงกับ EPS ปี 2563 ที่ 107 บาทเช่นกัน โดยทั้ง 2 กรณีเป็นกรณีที่รวมผลกระทบของ PE Expansion Effect เข้าไปแล้ว
ปัจจัยสำคัญที่น่าติดตามในเดือนพ.ย.นี้มีดังนี้
ปัจจัยบวก
1) อัตราผลตอบแทน (Bond yield) พันธบัตรทั่วโลกที่น่าจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป จากการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก จะส่งผลให้หุ้นยังคงเป็นตราสารที่น่าสนใจในมิติของ Earning yield gap หรือส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างหุ้นกับพันธบัตร
2) ความเป็นไปได้ที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 6 พ.ย.นี้ (ให้โอกาส 60%) หากเกิดขึ้นจริง จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ PE Expansion ในตลาดได้
3) เม็ดเงิน LTF ที่จ่อรอเข้าในช่วงที่เหลือของปีนี้อีก 3 หมื่นล้านบาท (หมายเหตุ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิติดต่อกันมา 4 วันแล้ว)
ปัจจัยลบ
1) แนวโน้มผลประกอบการบจ.ที่อ่อนแอจนทำให้นักวิเคราะห์ต้องมีการปรับลดประมาณการลงต่อเนื่อง ล่าสุด EPS ปี 2020 เหลือเพียง 107 บาทต่อหุ้นเท่านั้น (Bloomberg consensus) ส่งผลให้ระดับดัชนีเหมาะสมต้องถูกปรับลดลงโดยอัตโนมัติ
2) การเพิ่มน้ำหนักหุ้น A-Shares ของจีนในตะกร้าดัชนี MSCI EM ในช่วงปลายเดือนพ.ย.นี้ ซึ่งจะทำให้น้ำหนักหุ้นไทยในตะกร้าลดลง ระวังการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งเดือนนี้
3) ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk) ของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังสหรัฐฯประกาศตัดสิทธิ GSP สินค้าส่งออกของไทยหลายรายการ
กลยุทธ์การลงทุน
แนะนำถือหุ้นสำหรับนักลงทุนที่สะสมหุ้นไปที่ระดับดัชนี 1,600 จุด ทั้งนี้ จะต้องติดตามความคืบหน้าของการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯตลอดทั้งเดือนนี้ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งบวกหรือลบ หากออกมาในเชิงลบจนดัชนีปรับตัวลงมา มองกรอบดัชนีบริเวณ 1,540-1,550 จุด เป็นจุดที่สามารถเพิ่มน้ำหนักการลงทุนได้อย่างสำคัญ
ธีมการลงทุนแนะนำ
1) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของกนง.ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นแน่นอนแล้วหลัง Fed มีมติปรับลดดอกเบี้ยล่าสุด อาทิ กลุ่ม Hire purchase (TISCO, TCAP, KKP), กลุ่ม Leasing (S11, THANI, AMANAH) รวมถึงหุ้นปันผลสูง เช่น กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) และ REIT&IFF
2) หุ้นที่คาดว่ามีโอกาสถูกเลื่อนชั้นเข้าสู่ดัชนี MSCI Standard Index ได้แก่ GPSC (Note: เราคาดว่า GPSC เข้าข่ายหุ้นที่จะต้องซื้อขายด้วยบัญชี Cash Balance ในช่วง 6 สัปดาห์ข้างหน้าแล้ว)
3) หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SETTHSI ในรอบถัดไป ได้แก่ AAV, BTS, GGC, GPSC, GULF, ICHI, KTB, KTC, MTC, S, TU
ส่วนหุ้นที่แนะนำหลีกเลี่ยง ได้แก่ CK เนื่องจากประเมินว่าจะหลุดจากดัชนี SETTHSI ในรอบถัดไป จนอาจเผชิญแรงขายของนักลงทุนสถาบันในช่วงปลายปีต่อต้นปีหน้าได้ รวมไปถึงกลุ่มธนาคารที่ NIM อาจถูกกดดันต่อ จากความเป็นไปได้ที่กนง.จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง (มองการปรับตัวรีบาว์ของกลุ่มธนาคารในช่วง 2 วันที่ผ่านมาเป็นเพียง Technical rebound ระยะสั้น)


