บลจ.อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ชอบหุ้น EGCO

ชี้กลุ่มโรงไฟฟ้าฉวยโอกาสบาทแข็งลงทุนนอก มองหุ้นไทย 4 เดือนที่เหลือบวก-ลบ 5 % แกว่งในกรอบ 1,570-1,730 จุด 

นายออเสน การบริสุทธิ์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน-ตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังแข็งแกร่ง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์โดยรวม (Consensus) คาดการณ์กำไร บจ.ปีนี้ที่ 11% และปีหน้าอยู่ที่ 10%

สำหรับหุ้นรายกลุ่มแนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่โมเมมตัมดีและราคาหุ้นขาลง กลุ่มค้าปลีกที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อทำให้กลุ่มนี้ไปได้ต่อ กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มุ่งเน้นขยายการลงทุนในต่างประเทศในจังหวะเงินบาทแข็งค่า อาทิ บริษัท ผลิตไฟฟ้า (EGCO) เป็นต้น

สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะแกว่งตัวบวก/ลบ 5% จากดัชนี SET ปัจจุบันที่ 1,650 จุด หรืออยู่ในกรอบ 1,570-1,730 จุด โดยปัจจัยที่มีผลกระทบมาจากต่างประเทศ ได้แก่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิต) ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ให้อ่อนแอลง หลังจากไตรมาส 2/62 ได้รับผลกระทบจากการบันทึกค่าใช้จ่ายตามพ.ร.บ.แรงงาน

อย่างไรก็ตาม มองว่าหุ้นไทยยังน่าสนใจกว่าภูมิภาค ซึ่งตั้งแต่ต้นปีดัชนี SET บวกขึ้นมา 5% เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค และช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับตัวลงเป็นจังหวะเข้าซื้อสะสม โดยราคาปิดต่อกำไร(พี/อี เรโช) ตลาดในปีนี้อยู่ที่ 15 เท่า และคาดว่าปีหน้าจะอยู่ที่ 14 เท่า

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ดีบีเอส วิคเคอร์ส ฯ ระบุว่า ราคาหุ้น EGCO ปรับขึ้น 38%จากต้นปี 62 ถึงปัจจุบัน สูงกว่าการปรับขึ้นของ SET Index ที่ปรับขึ้น 5% อย่างมาก นักวิเคราะห์ใน IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยไว้ที่ 295 บาท ซึ่งราคาปัจจุบันมี Downside 16% อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 62 คาดการณ์ไว้ที่ 2.0-2.5% ต่ำกว่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยที่ 3.2%

ขณะที่ผู้บริหาร EGCO กล่าวว่าบริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาเรื่องแตกพาร์หลังราคาหุ้นปรับขึ้นมาพอสมควร จากปัจจุบันที่มีราคาพาร์ 10 บาท และมีหุ้นเรียกชำระแล้ว 526.46 ล้านหุ้น แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะดำเนินการหรือไม่

ด้านราคาหุ้นEGCO ปิดตลาดวันที่ 4 ก.ย.62 ที่ราคา 357 บาท  เพิ่มขึ้น 14 บาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 4.08 % ขณะที่ระหว่างวันปรับขึ้นสูงสุดที่ 375 บาท ปรับลงต่ำสุดที่ 344 บาท