posttoday

Jitta ตะลุย WealthTech โอกาสใหม่สร้างผลตอบแทน

11 มีนาคม 2562

เทคโนโลยีการลงทุนบริหารความมั่งคั่ง หรือเวลท์เทค (WealthTech) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech)

เรื่อง ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์

เทคโนโลยีการลงทุนบริหารความมั่งคั่ง หรือเวลท์เทค (WealthTech) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) กำลังมีบทบาทและความสำคัญมากขึ้นในตลาดทั่วโลก เพราะหลายเทคโนโลยีทางการเงินนั้นเกี่ยวข้องกับข้อมูล

เมื่อนำเทคโนโลยีนั้นมาผนวกกับโลกของการลงทุนบริหารความมั่งคั่งที่เป็น “ตัวเลข” และ “ฐานข้อมูล” ที่ต้องอาศัยการคำนวณ ได้เกิดการ บูม! (ที่ไม่ใช่โกโก้ครั้นช์) ทางเลือกใหม่ของนักลงทุนที่ง่าย โดยไม่ต้องลาออกจากงานเพื่อมานั่งเสียเวลาคำนวณงบดุลแต่ละบริษัท และยังทำให้คนทั่วไปเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้นเพราะต้นทุนต่ำและสะดวกสบาย

เป็นที่น่ายินดีที่สตาร์ทอัพสัญชาติไทย ในนาม “Jitta-จิตตะ” ได้ใช้ความรู้ความสามารถสร้างแพลตฟอร์มและโซลูชั่นเพื่อนักลงทุนยุคใหม่ขึ้นมา พร้อมจะก้าวไปสู่โกลบอลให้โลกเห็นว่า ศักยภาพคนไทยไม่แพ้ชาติใด

“เผ่า” ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta เล่าถึงที่มาที่ไปว่า เพราะเป็นนักลงทุนมาก่อน จึงรู้ซึ้งความเจ็บปวดเมื่อเสียหายจากการลงทุนในหุ้น จึงได้รู้ว่าข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ หลังจากนั้นก็ได้นั่งศึกษางบการเงินเป็นพันบริษัท กว่าจะได้กำไรต้องใช้เวลานานและสั่งสมประสบการณ์มาก

“หลายคนลงทุนเอง มักจะล้มเหลว 90% หมายถึง มีกำไรแพ้ตลาด เราเลยอยากเอาความรู้ที่มีมาช่วยนักลงทุนคนอื่น แทนที่จะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน ควรมาดูปัจจัยสำคัญกว่า คือ ข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ”

คิดได้ดังนั้น ตราวุทธิ์ จึงได้ร่างแผนการสร้างแพลตฟอร์มขึ้นมา และเห็นโอกาสที่สามารถสเกลได้ตั้งแต่ก่อตั้ง สามารถแข่งขันได้แน่ในระดับสากล จากการที่ศัพท์การเงินทั่วโลกใช้เหมือนกันเข้าใจได้ทันที Jitta จึงถือกำเนิดด้วย Mission “ทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีผลตอบแทนดีขึ้นด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดผ่านเทคโนโลยี”

เซอร์เวย์ WealthTech

ตราวุทธิ์ ได้ประเมินแนวโน้ม WealthTech ว่า ปัจจุบันเป็นพาร์ตที่เติบโตเร็วมากในส่วนของฟินเทค สะท้อนผ่านผลตอบแทนจากการลงทุน ขณะที่เทรนด์โลกก็ตอบรับ WealthTech เข้ามาเป็นเครื่องมือในการให้บริการลูกค้าที่กว้างขวางขึ้นจากประโยชน์อย่างน้อย 3 ด้าน

1.เมื่อก่อนจ้างที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนได้ ต้องเป็นบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูงมาก (Hi-Networth) แต่บัดนี้ทุกคนมีความรู้การลงทุนมากขึ้น ผู้มีความมั่งคั่งรองลงมาหรือมีเงินเหลือก็สนใจลงทุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในตลาด ธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินแบบเดิมไม่พอรองรับดีมานด์ได้ เป็นช่องว่างที่เวลท์เทคเข้ามาเติมเต็ม

2.ความสะดวกสบาย พฤติกรรมคนทุกวันนี้ส่วนใหญ่ติดมือถือและทุกคนต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง ไม่ว่าการเลือกซื้อสินค้าและการลงทุน ก็สามารถใช้เครื่องมือ WealthTech เข้ามาติดตามผล ปรับพอร์ต เปรียบเทียบได้

3.คนต้องการความโปร่งใส เมื่อมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามา ทำให้รู้ได้ว่า บุคคลนั้นลงทุนตรงไหน ค่าฟีเท่าไร เป็นไปตามการใช้งานแต่ละคนจริงๆ

“เคยมีเซอร์เวย์ว่า ฟินเทคที่มีพลังในการดิสรัปมากสุด คือ WealthTech แต่ใช้เวลานานสุด เพราะนักลงทุนยังติดกับการมีที่ปรึกษาเป็นคน แต่สุดท้ายตรงนี้จะเปลี่ยนไป เพราะคนยุคใหม่โตมากับเทคโนโลยี”

โซลูชั่นของ Jitta

ปัจจุบัน Jitta มี 2 แพลตฟอร์มโซลูชั่น ได้แก่ เว็บไซต์จิตตะ www.jitta.com เป็นบริการวิเคราะห์ และที่กำลังจะเปิดตัว บลจ.จิตตะเวลธ์ ที่จะช่วยลูกค้าบริหารจัดการพอร์ตลงทุนเพื่อ

ให้ได้ผลกำไรที่ดีที่สุดในสไตล์ Value Investing

ทั้งสองแพลตฟอร์มของ Jitta มีเทคโนโลยีหลักตัวเดียวกันที่เป็นการวิเคราะห์งบการเงิน แบบ Value Investor โดยจะกล่าวถึงแพลตฟอร์มที่ให้บริการในปัจจุบันก่อน นั่นก็คือ เว็บไซต์จิตตะ มีเครื่องมือ Jitta Score ที่บอกถึงคุณภาพของกิจการผ่านคะแนนเต็มสิบ Jiita Line มูลค่าเหมาะสมของหุ้นนั้นๆ หากราคาต่ำกว่าพื้นฐานก็เป็นโอกาสที่เข้าการลงทุน เพราะจากสถิติพบว่า บริษัทที่คุณภาพดี ราคาแฟร์แวลูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ JittaRanking ซึ่งมาจากผลการวิเคราะห์หุ้นทุกตัว มีการจัดอันดับหุ้นประมาณ 700 ตัว ที่บอกถึงความน่าลงทุน หรือเป็นหุ้นดีราคาถูก โดยมีข้อมูลจากหุ้นของบริษัทหลายประเทศ

ระบบของ Jitta ทันสมัยทันเหตุการณ์ เพราะมีการดึงข้อมูลแบบอัตโนมัติเมื่อมีการอัพเดทข้อมูลงบการเงินของบริษัทต่างๆ และข้อมูลนั้นจะถูกนำไปเข้าโหมดวิเคราะห์ประมวลผลให้นักลงทุนเข้ามาศึกษาและใช้งาน ฟรี! ซึ่ง ตราวุทธิ์ บอกว่า ผลตอบรับดีมากหลังเปิดให้บริการมา 5 ปี

บลจ.จิตตะเวลธ์ ใกล้คลอด

ตราวุทธิ์ ได้เกิดไอเดียต่อยอดการนำ WealthTech ให้บริการบริหารพอร์ตแก่นักลงทุนที่ไม่มีเวลาดูแลหรือวิเคราะห์มากนัก โดย บลจ.จิตตะเวลธ์ มีจุดเด่นนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลงทุนนับเป็น บลจ.ไทย แห่งแรกที่นำ WealthTech มาใช้ตั้งแต่การเปิดบัญชีและบริหารจัดการลงทุน

“เมื่อเราได้ทำเว็บไซต์วิเคราะห์ คาดหวังให้นักลงทุนได้เห็นโอกาสซื้อหุ้นอะไร ราคาเท่าไร ทีนี้พอขยายตลาดมากๆ เข้าก็พบเพนพอยต์หลักของนักลงทุนไม่ใช่เรื่องรู้ไม่รู้ แต่มันคือกำไร ก็มาคิดว่าจะช่วยบริหารจัดการได้ไหม”

กลุ่มผู้ต้องการลงทุนเป็นตลาดใหญ่มากในโลก โดยทั้งโลกสินทรัพย์เพื่อการลงทุน 2,500 ล้านล้านบาท ส่วนในประเทศไทย 6 ล้านล้านบาท โตปีละ 7% แต่คนสมัครเปิดบัญชีลงทุนแค่ 6 ล้านคนน้อยมาก มีโอกาสเติบโตอีกเยอะ ซึ่งต้องจับตากลุ่มที่จะกลับเข้ามาลงทุนใหม่อีกครั้ง

กลุ่มเป้าหมาย คือ คนมีเงินฝากนิ่งๆ ไม่กล้าลงทุนเพราะกลัวความเสี่ยง เมื่อพิจารณาจากเงินฝากขนาด 1 แสนบาทถึง 10 ล้านบาท มี 8.7 ล้านบัญชี รวมเป็นเงิน 5.7 ล้านล้านบาท จากเงินฝากรวมในประเทศทั้งสิ้น 12 ล้านล้านบาท เงินจำนวน 5.7 ล้านล้านบาท พร้อมที่จะเข้าไปสู่โหมดของการลงทุน หากมีบริการที่ตอบโจทย์ความเสี่ยงและกำไรได้

ปัจจุบันได้รับการอนุมัติในจัดตั้ง บลจ.จิตตะเวลธ์ แล้ว ขณะนี้มีช่องทางเว็บไซต์ wealth.jitta.com หากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ใบอนุญาตดำเนินการจัดการกองทุนส่วนบุคคล ก็พร้อมที่จะให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ส่วนผลตอบรับดีมาก มีนักลงทุนลงทะเบียนรอแล้วมากกว่า 1 หมื่นราย ลงทุนขั้นต่ำ 1 ล้านบาท

บลจ.จิตตะเวลธ์ ใช้ WealthTech ลงทุนหุ้นอัตโนมัติ 30 บริษัท (Top 30) ตามการจัดอันดับของ Jitta Ranking ที่คัดเลือกหุ้นแบบ Value Investing โดยใช้ Big Data และปรับพอร์ตปีละ 1 ครั้ง ในช่วงแรกสามารถลงทุนหุ้นไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม

“ที่ผ่านมา การลงทุนตาม Jitta Ranking พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนดีกว่าดัชนี เช่น ตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ปี 2552-2561 ดัชนี SET50 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย (CAGR)ปีละ 12.69% ขณะที่ Jitta Ranking Top 30 ให้ผลตอบแทนปีละ 22.89% แต่ผู้ลงทุนอาจได้ผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เนื่องจากต้องลงทุนต่อเนื่องและมีวินัย ไม่ซื้อขายตามอารมณ์”

เบื้องต้นให้บริการกองทุนส่วนบุคคล และในอีก 1-2 ปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการกับนักลงทุนทั่วไปได้ เพราะต้องรอให้มีการรับรอง e-Signature และ e-KYC ก่อน เพราะ Jitta ให้บริการผ่านระบบออนไลน์

Jitta ตะลุย WealthTech โอกาสใหม่สร้างผลตอบแทน

ลงทุนสร้างเทคโนโลยีเพิ่ม

ที่ผ่านมาของ Jitta ไม่มีรายได้การให้บริการ แต่ได้รับเงินสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่ (Angel Investor) และล่าสุดได้รับลงทุนระดับ Pre-Series A มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท จากบริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล (Beacon VC) บริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทย ทำให้ Jitta เป็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่มีมูลค่าสูงที่สุดในเวลานี้

ตราวุทธิ์ กล่าวว่า เงินลงทุนที่ได้มาจาก Beacon VC เตรียมขยายฐานไปหลายส่วน โดยจะเพิ่มทีมจากปัจจุบันที่มีอยู่ 25 คน จะเพิ่มทีมทั้งด้านซอฟต์แวร์เอนจิเนียร์ ด้านเทคโนโลยี และทีมธุรกิจ ภายใต้หลักการ พยายามใช้คนน้อย แต่ต้องเป็นคนที่ช่วยพัฒนาประสิทธิภาพ อัลกอริทึ่มต่างๆ ให้ดีที่สุด เพื่อให้เกิดการพัฒนาโปรดักต์ให้ดีขึ้น

เทคโนโลยีหลักที่จะลงทุน คือ Deep Tech ทั้ง AI และ Data Minig เพื่อดูแฟกเตอร์สำคัญของหุ้นตัวโลกว่าอะไรคือปัจจัยให้หุ้นราคาขึ้นสูงสุด และตัววิเคราะห์จากเดิมเฉพาะงบการเงิน จะขยายฐานไปสู่การวิเคราะห์ดัชนีสำคัญของเศรษฐกิจโลก เพื่อให้เห็นทิศทางต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสผลตอบแทนนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ

“ปัจจุบันหลายประเทศมีความต้องการให้จิตตะไปประเทศเขา แต่เราเลือกตลาดที่น่าจะสำเร็จและทำงานง่าย อาทิ สิงคโปร์ อินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในด้านเวลท์ แมเนจเมนต์”

ด้าน Beacon VC ในเครือธนาคารกสิกรไทย โดย ธนพงษ์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการ ให้เหตุผลที่ได้เข้าร่วมลงทุนกับ Jitta ว่า เพราะเล็งเห็นตลาด WealthTech มีศักยภาพที่จะเติบโตอีกมาก ขณะที่บริการของ Jitta สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสิ่งสำคัญคือผู้ก่อตั้งและทีมงานของ Jitta ที่มุ่งมั่นสร้างเทคโนโลยีเพื่อผู้ใช้งานอย่างแท้จริง

“โซลูชั่นของ Jitta ที่พัฒนาขึ้น นับเป็นสตาร์ทอัพจำนวนน้อยรายในประเทศไทย ที่มีศักยภาพในการสเกลหรือขยายการบริการไปในตลาดต่างประเทศทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เรามั่นใจว่า Jitta สามารถเป็นบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติไทยที่จะก้าวขึ้นมาสร้างปรากฏการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและผลักดันให้วงการสตาร์ทอัพไทยเป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับสากล”

จากวิสัยทัศน์ของผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta ถึงความตั้งใจในการพัฒนาบริการบริหารความมั่งคั่งแห่งอนาคตด้วย WealthTech ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า เราจะได้มีโอกาสเห็นสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ก้าวสู่การให้บริการตลาดโลก ด้วยการเป็น “ยูนิคอร์น” ที่ได้รับการยอมรับในไม่ช้า