posttoday

ดูภาพ หวีกล้วย ช่วยให้ได้คิดภาพใหญ่

21 กุมภาพันธ์ 2565

เวลานี้ของสังคมเราที่มีความปริแยก แตกต่าง หลากหลาย มีทั้งความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน มีทั้งความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน คล้ายดังกล้วยที่สุกและดิบในหวีเดียวกัน

คอลัมน์ เศรษฐกิจภาษาคน ตอนที่ 8/2565

เมื่อเช้าวันอาทิตย์ ภรรยาของผู้เขียนได้นำภาพ หวีกล้วยที่มีกล้วยทั้งส่วนที่ดิบและส่วนที่สุก พร้อมตั้งคำถามว่า มองภาพนี้แล้วมองผู้คน สังคมวันนี้เป็นอย่างไร เพราะเป็นภาพที่พระสงฆ์ตั้งโจทย์ให้คุณภรรยากับคณะลองพิจารณาตอบ ผู้เขียนได้เห็นความเห็นของท่านหนึ่งที่ดีมาก จึงใคร่ขอนำออกมาเสนอยังท่านผู้อ่านให้ลองคิดตามครับ ลองพิจารณาถึงความเป็นไปในเวลานี้ของสังคมเราที่มีความปริแยก แตกต่าง หลากหลาย มีทั้งความคิดห็นที่ไม่ตรงกัน มีทั้งความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน คล้ายดังกล้วยที่สุกและดิบในหวีเดียวกัน แน่นอนว่าในบั้นปลายถ้ากล้วยไม่ถูกเด็ดไปกินแบบสด ๆ ก็ต้องไปทำเป็นขนมโดยผสมกับอย่างอื่น หรือไม่ก็เน่าเสียไปเพื่อเป็นปุ๋ยดิน ผู้เขียนอยากชวนท่านผู้อ่านลองพิจารณาคำตอบของมิตรธรรมคุณภรรยาของผู้เขียนดังนี้

ท่านที่หนึ่ง ให้ความเห็นเป็นคำตอบ จากการมองภาพกล้วยหวีนี้เป็นดังนี้

... กล้วยในหวีเดียวกันยังแตกต่างกัน ดิบบ้างสุกบ้าง อ้วนบ้างผอมบ้าง นี่คือความแตกต่างของสรรพสิ่งในธรรมชาติ หากนำมาเปรียบกับคนที่อยู่ในเครือในหวีเดียวกันเช่นครอบครัว ใกล้ชิดกัน เครือเถายีนใกล้กันมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกคนต่างกัน ดังนั้นจะคาดหวังให้เขาเหมือนเรา เป็นแบบที่เราต้องการ สุกพร้อมอย่างเรา ในขณะที่เขายังดิบอยู่ เราก็คงต้องทุกข์ไปตลอด อยู่ในเครือในหวีเดียวกันยิ่งใกล้ชิดกัน ยิ่งต้องสอนใจให้เข้าใจความจริงของธรรมชาติในเรื่องความต่างของแต่ละผลในหวีในเครือเดียวกันให้มากให้ชัด เพื่อยอมรับความจริงที่ประจักษ์นี้อย่างเข้าใจแบบเข้าถึงจริง ๆ ทุกข์จึงจะจางลง...

ในความเห็นของผู้เขียนการที่สังคม เศรษฐกิจไทยกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยคนรุ่นหนึ่ง แต่คนอีกรุ่นหนึ่งได้รับผล เขาอาจไม่ชอบ เขาอาจคิดว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่า มันน่าจะมีวิธีที่ทันสมัยกว่า แตกต่างกว่าได้ คนรุ่นที่รับผิดชอบต้องเปิดใจรับฟังคนรุ่นที่ได้รับผลบ้าง อะไรที่ใช่สมัยเรา อาจไม่ใช่ในสมัยเขา ความคิดต่างไม่ใช่คิดเป็นศัตรู เช่น คนกลุ่มหนึ่งมีความมั่นคง มีเงิน มีรายได้ก็อยากให้ใช้มาตรการคุมเข้มเรื่องโรคระบาดเพราะกลุ่มตัวเองใช้ชีวิตต่อไปได้ อย่างมากก็คือไม่ได้ออกจากบ้าน ไม่ได้ออกไปเที่ยว ขณะที่คนอีกกลุ่มมันต้องหาเงินวันต่อวัน ถ้ามีมาตรการเข้มข้น ไม่รับความเสี่ยงบ้าง เศรษฐกิจ?มันก็ขาดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดรายได้ เขาก็อยู่ไม่ได้เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 เพื่อทำมาหากินได้จึงเป็นสิ่งที่อีกกลุ่มหนึ่งต้องการให้ทำ

ท่านที่สอง มีความคิดเห็นว่า มองกล้วยหวีนี้ที่มีทั้งสุกทั้งดิบได้ข้อคิดสองมุมคือ

มุมที่หนึ่ง : มองผู้คน เพื่อน ไม่เหมือนกัน

เช่นคนที่มาเรียนรู้ฝึกในธรรมปัญญา

กล้วยสุก... หมั่นฝึกฝนก้าวหน้าทางธรรม

กล้วยดิบ... ไม่สนใจหมั่นฝึกฝน...

มองมุมที่สอง : มองมาที่ตัวเรา

บางเรื่องสามารถก้าวข้ามเปลี่ยนนิสัยได้ดี

เปรียบกล้วยสุก ส่วนกล้วยดิบเปรียบเหมือนเรื่องที่ยังมีความคิดเห็นผิด

เผลอพูดผิด...คิดผิด...ทำผิดอยู่ จึงต้องหมั่นสังเกตใจตัวเอง มีความรู้สึกอย่างเท่าทันกับทุกเหตุการณ์ของทุกคนที่เราได้เข้าไปเกี่ยวข้องหมั่นฝึกสติและลดอัตตาตัวตนของเรา

ให้ฝึกยอมบ้าง ฝึกยอมแพ้เป็น ในความเห็นผู้เขียนก็คือการปรับเปลี่ยนยืดหยุ่น ไม่ยึดติด เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาใด ๆ ก็ต้องคิดหาทางออก ทางแก้ โดยไม่ต้องไปคิดว่าเราคิดครบ คิดครอบคลุมไปหมดแล้ว ไม่คิดจะรับเอาสิ่งที่ถูกส่งเข้ามาในช่องทางต่าง ๆ มาปรับใช้บ้าง การยึดมั่นในตัวตนของเราจนไม่รับฟังเสียงภายนอก มันสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายได้แม้มีเจตนาตั้งใจดีก็ตาม

ถ้าเราได้ติดตามการอภิปรายโดยไม่มีการลงมติในอาทิตย์ที่ผ่านมาของรัฐสภา จะพบว่าเรื่องราว บรรยากาศ ผู้คน มันก็เหมือนกล้วยดิบ กล้วยสุกในหวีเดียวกัน ถ้าประเทศ ระบบเศรษฐกิจที่ต้องขับเคลื่อนเหมือนหวีกล้วยดังภาพ ความแตกต่างระหว่างความดิบมาก ดิบน้อย เริ่มสุก สุกแบบกินได้ มันคือระดับความแตกต่างหลากหลาย ถ้าสังคมโดยรวมฉลาด เราจะสามารถเอากล้วยทั้งหวีตามช่วงเวลามาใช้ประโยชน์ได้เกือบทั้งหมด สังคมที่โง่เขลาก็ได้แต่บิดกล้วยแต่ละลูกด้วยความโกรธ ความแค้น ความไม่พอใจ มาขว้างปาพร้อมด่าทอกัน หาประโยชน์หรือสาระอันใดไม่ได้เลย เพราะที่สุดทุกคนก็ท้องหิวเนื่องจากเอาของที่กินได้ มีประโยชน์มาขว้างปากันด้วยโทสะ ดังที่เราสะท้อนใจว่า สงสารประเทศ ยามดูละครชีวิตโรงใหญ่ในช่วงเวลาดังกล่าว

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ