posttoday

แนวคิด ESG ตลอดสายการผลิต สู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ตอนที่ 2/2

08 มกราคม 2565

ประเด็น ESG ในธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นในหลากหลายมิติ

Goldman Sachs ระบุว่า ณ เดือนส.ค. 2020 กองทุน ESG ต่างไม่ได้เพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในธุรกิจค้าปลีกเสื้อผ้าอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนมุมมองที่เป็นกลาง/ไม่แน่ใจของนักลงทุน อย่างไรก็ดี ความสนใจในประเด็น ESG ของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นแรงจูงใจให้บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าหันมาให้ความสำคัญกับแนวคิด ESG ตลอดทั้ง Value Chain มากขึ้น นำโดยแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำของโลกก่อน นอกจากนี้ ด้วย Value Chain ที่ค่อนข้างยาวของอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า เราจึงเริ่มเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงโมเดลการทำธุรกิจที่บริษัทผู้ผลิตหลายรายหันมาคัดเลือกซัพพลายเออร์ของตัวเองให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG ด้วย แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังเป็นบริษัทในสหรัฐฯ และยุโรปมากกว่าในเอเชีย

แนวคิด ESG ตลอดสายการผลิต สู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า ตอนที่ 2/2

บริษัท Nike นับเป็นตัวอย่างในประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี โดยในปี 1998 Phil Knight ผู้ก่อตั้ง และ CEO ของ Nike พบว่า Nike กลายเป็นสัญลักษณ์ของการใช้แรงงานทาส ทั้งค่าจ้างที่ต่ำ และการบังคับใช้แรงงาน จนนำไปสู่การหันมาเน้นเรื่อง ESG ในองค์กรมากขึ้น หลังจากนั้น ในปี 2005 Nike กลายเป็นแบรนด์รองเท้าและเสื้อผ้าระดับโลกรายแรกที่เปิดเผยรายชื่อซัพพลายเออร์ของตัวเองทั้งหมดโดยสมัครใจ รวมทั้งบอกฐานการผลิตต่างๆ ทั่วโลก (Manufacturing Map) และออกรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (Impact Report) เป็นประจำทุกปี ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับข้อมูลที่โปร่งใสและชัดเจน ทั้งรายชื่อซัพพลายเออร์ทั้งหมด 500 กว่าเจ้าทั่วโลก โดยให้รายละเอียดชื่อโรงงาน ที่ตั้ง อายุ/เพศของแรงงาน และมาตรฐานการจ้างงานที่ครอบคลุมแรงงานทั้งหมด 1 ล้านคนใน 42 ประเทศทั่วโลก

มาที่บริษัท Fast Retailing ของญี่ปุ่นซึ่งมี Uniqlo เป็นแบรนด์หลักนั้น ก็ประกาศเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง ทั้งในส่วนของการผลิตโดยตรงและตลอดห่วงโซ่อุปทาน โดยในช่วงต้นปี 2019 ระบุว่า จะกำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับ “ความตกลงปารีส” ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดอุณหภูมิโลกลง 1.5 องศาภายในปี 2050 อาทิ การลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากร้านค้า Uniqlo ทั่วโลกผ่านการเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED ในทุกร้านค้า เป็นต้น รวมไปถึงการทำงานร่วมกับโรงงานคู่ค้าเพื่อลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตลง นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนในเทคโนโลยี BlueCycle ที่ช่วยลดการใช้น้ำในกระบวนการซักฟอกยีนส์ได้ถึง 99% เมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตทั่วไป และตั้งเป้าที่จะลดการปล่อยสารเคมีอันตรายจากโรงงานจนเป็นศูนย์ ในด้านการผลิตระบบหมุนเวียน Uniqlo มีความพยายามที่จะสร้างกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืนผ่าน 3 ด้านหลักอย่าง Recycle Reuse และ Reduce

ด้านผู้ผลิตอย่างบริษัท Shenzhou International ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของ Nike และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตเสื้อผ้ากีฬารายใหญ่ของโลกประกาศเป้าหมายที่จะลดปริมาณการใช้น้ำและพลังงานในการผลิตลง แม้ยังไม่มีการระบุกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำพลังงานสะอาดมาใช้มากขึ้น อาทิ การติดตั้งแผ่นโซลาร์ที่โรงงานในเมืองหนิงโป ประเทศจีน และโรงงานแห่งใหม่ในกัมพูชา เป็นต้น ทั้งนี้ หนึ่งในประเด็นที่บริษัทให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน การใช้แรงงานอย่างเป็นธรรม โดยปราศจากการบังคับใช้แรงงานและแรงงานเด็ก รวมทั้งจำกัดชั่วโมงการทำงานนอกเวลา และนโยบายความเสมอภาคในการจ้างงาน นอกจากนี้ ไม่ว่าลูกจ้างจะอยู่ในประเทศจีน กัมพูชา หรือเวียดนาม ทุกคนต่างได้รับการปรับเงินเดือนขึ้นโดยเฉลี่ย 10-12% ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา และได้รับสวัสดิการที่ดี รวมทั้งมีความโปร่งใสในประเด็นอายุและเพศของลูกจ้าง

สำหรับบริษัท Kering ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดังมากมายทั้ง Alexander McQueen, Balenciaga, Bottega Veneta, Gucci, และ Saint Laurent ด้วยซัพพลายเออร์ที่มีมากถึงหลายพันราย แต่กว่า 88% อยู่ในอิตาลี ทำให้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมไม่มากนักเหมือนในประเทศกำลังพัฒนา โดย Kering เป็นเจ้าแรกในอุตสาหกรรมที่ออกรายงาน Environmental Profit & Loss ซึ่งระบุการดำเนินงานของบริษัทไปจนถึงการได้มาของวัตถุดิบในการผลิตด้วย ภายใต้เป้าหมายการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้ 40% ระหว่างปี 2015 ถึง 2025 โดยปัจจุบันทำไปได้ 29% นอกจากนี้ Kering ยังตั้งเป้าที่จะใช้วัตถุดิบที่มีความยั่งยืนทั้งหมดภายในปี 2025 ซึ่งปี 2020 บริษัทมีสัดส่วนการใช้วัสดุหนังแบบยั่งยืนถึง 73% ขณะที่สัดส่วนการใช้ผ้าฝ้ายออร์แกนิคอยู่ที่ 30% ด้านแบรนด์ Gucci ยังจับมือกับ TheRealReal แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์สำหรับขายของแบรนด์เนมมือสอง เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยทำการขายสินค้าผ่านช่องทาง The RealReal X Gucci

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่า การเปิดเผยข้อมูล และมาตรการความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ละตลาด และแต่ละประเภทของธุรกิจ เช่น ข้อมูลจากเจ้าของแบรนด์ ซัพพลายเออร์ขั้นที่ 1 และซัพพลายเออร์ขั้นอื่นๆ ก็มีการเปิดเผยและความน่าเชื่อถือไม่เท่ากัน แต่อย่างน้อยเรายังเห็นพัฒนาการที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Shenzhou International ที่อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าแบรนด์อื่นๆ ในด้าน ESG เนื่องจากดำเนินธุรกิจแบบมีกิจการต้นน้ำ/ปลายน้ำเป็นของตัวเอง (Vertically Integrated Business Model) ทำให้มีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตเส้นใย และสิ่งทอเองด้วย รวมทั้งไม่มีการเปิดเผยแนวทางการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน เช่นเดียวกับ Uniqlo ที่ถึงแม้จะมีพัฒนาการเรื่อง ESG อย่างก้าวกระโดด แต่ยังมีความโปร่งใสน้อยกว่าแบรนด์เสื้อผ้าอื่นในสหรัฐฯ และยุโรป กระนั้นจากการศึกษาประเด็น ESG ในบริษัทต่างๆ ของ Goldman Sachs พบว่าทั้ง Shenzhou และ Fast Retailing ต่างมีแนวโน้มที่จะหันมาใช้นโยบายส่งเสริม ESG มากขึ้นตามลำดับ

ด้วยกระแสการรวมกิจการในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าแฟชั่น (Industry Consolidation) ส่งผลให้แบรนด์ดังทั่วโลกต่างค้นหาซัพพลายเออร์ และต้องการใช้ซัพพลายเออร์ทั้งขั้นที่ 1 และขั้นอื่นๆ ที่มีกระบวนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ซัพพลายเออร์เหล่านี้จะกระจายอยู่ในประเทศที่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อประเด็น ESG มากนัก จึงเป็นหน้าที่ของแบรนด์ชั้นนำเหล่านี้ที่จะส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจตลอด Value Chain เพื่อให้มั่นใจว่าซัพพลายเออร์ของแบรนด์มีแนวทางการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและมุ่งเน้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ลูกจ้าง ทั้งนี้ ในอนาคต ด้วยกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้น บวกกับความเสี่ยงจากข่าวเชิงลบที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (Headline Risk) เรามองว่า บริษัทที่สามารถดูแลและแก้ไขปัญหาเรื่อง ESG ได้ดีกว่า มีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบน้อยลง และดึงดูดผู้บริโภคที่จะหันมาเลือกใช้แบรนด์สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใส่ใจสังคมมากขึ้น