posttoday

รู้ทันกระแสโลก พี่ใหญ่จีนจับตลาดรถ NEV 

24 พฤษภาคม 2564

กระแสค่านิยมในการบริโภคสินค้าและบริการ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ประชากรทั่วโลกเริ่มใส่ใจ และให้ความสำคัญกับการเลือกสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่แน่นอนว่าเพียงการเปลี่ยนแปลงในระดับรายบุคคลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถขับเคลื่อนภาพใหญ่ของโลกได้ ภาครัฐจึงมีส่วนสำคัญที่จะส่งแรงสนับสนุนผ่านการใช้นโยบายกระตุ้นในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้  ตัวบ่งชี้สำคัญอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความสำเร็จของนโยบายภาครัฐ คือ ยอดขายรถยนต์ที่ใช้พลังงานในรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า New Energy Vehicle โดยในปี 2020 ที่ผ่านมายอดขายรถยนต์พลังงานสันดาบ (ICE) ทั่วโลก ปรับตัวลดลง -15% ในขณะที่ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) ปรับตัวเพิ่มขึ้น +33% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และจีนกำลังเป็นผู้ชนะในตลาดนี้

โดย วิศรุต จารุอนันตพงษ์ AFPT™

Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

รถยนต์ NEV อาจสามารถแยกย่อยออกไปได้อีก 4 ประเภท ตามรูปแบบการใช้พลังงาน ได้แก่ รถยนต์ไฮบริด (HEV) ปลั๊กอิน-ไฮบริด (PEV) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) และรถยนต์ที่ใช้พลังงานฟิลเซลล์ (FEV) โดยในปี 2018 และ 2020 บริษัท Deloitte ได้ทำแบบสำรวจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ NEV ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศษ เยอรมัน อิตาลี สหราชอาณาจักร จีน และสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ผลลัพธ์ว่า ในปี 2018 ปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง หรือ Driving Range และประเด็นเรื่องระดับราคาตามลำดับ แต่ในขณะที่ปี 2020 ปัจจัยที่มีผลมากที่สุด คือจำนวนสถานีชาร์จแบตเตอรี่ และรองลงมา คือเรื่อง Driving Range ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้จำเป็นที่จะต้องมีความพร้อมก่อนที่ความต้องการซื้อของผู้บริโภคจะมากขึ้นและจะขาดปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งไปไม่ได้ โดยประเทศจีนถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีความพร้อมมากที่สุด ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ NEV ของโลก

จากผลสำรวจข้างต้นแสดงถึงปัญหาในปัจจุบันว่าการขาดจุดชาร์จแบตเตอรี่เป็นคอขวดสำคัญที่สุดที่ทำให้คนไม่กล้าซื้อรถยนต์ NEV โดยการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จจำเป็นที่จะต้องได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากธุรกิจนี้มักจะเกิดการขาดทุนสะสมในช่วงแรกและใช้เวลานานกว่าที่จะเริ่มมีกำไร โดยสถานีชาร์จแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพและใช้เวลาในการชาร์จราว 30 นาที - 1ชั่วโมง ที่เรียกว่า Level 3 EV Charger Stations หรือ DC Fast Charing จะมีต้นทุนในการติดตั้งที่สูงราว 20,000 - 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 600,000 - 1,000,000 บาท ในขณะที่รายได้ในการชาร์จอยู่ที่เพียงราว 0.29 เหรียญต่อคันต่อนาทีเท่านั้น 

และในปัจจุบันประเทศจีนมีสถานีชาร์จสาธารณะกว่า 807,000 สถานี เพิ่มขึ้นจาก 516,000 สถานีในปีก่อนหน้า และเมื่อรวมกับสถานีชาร์จแบตเตอรี่ส่วนบุคคลพบว่า จีนมีสถานีชาร์จมากถึง 1.7 ล้านสถานี ในขณะที่สหรัฐฯ มีสถานีเพียงราว 400,000 สถานีเท่านั้น จึงถือได้ว่าจีนเป็นประเทศเดียวที่มีสถานีชาร์จแบตเตอรี่ที่เพียงพอกับจำนวนรถ NEV ในปัจจุบัน  

ในด้านนโยบาย ทางการจีนได้ออกมาตรการสนับสนุนผู้บริโภคที่ซื้อรถยนต์ทั้ง 4 ประเภทดังกล่าว อาทิ การให้เงินอุดหนุน (Subsidies) 24,750 หยวนหรือราว 120,000 บาทต่อคัน จนถึงปี 2022 การงดเว้นภาษีการซื้อรถยนต์ที่อยู่ 10% และการสนับนุนให้ส่วนลดพิเศษสำหรับที่จอดรถในเมืองใหญ่ เป็นต้น 

จากการส่งเสริมและพัฒนาใน 2 ประเด็นข้างต้น ทำให้ยอดขายรถยนต์ NEV ของจีน ปรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งตั้งแต่ปี 2015 ประเทศจีนมียอดขายรถยนต์ NEV เป็นที่ 1 ของโลกมาได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2020 จีนมียอดขายรถยนต์ NEV 1.36 ล้านคัน คิดเป็น 9% ของยอดขายรถทั้งหมด (ดังแสดงในแผนภาพที่ 1) และคาดว่ายอดขายในปี 2021 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านคัน หรือเติบโตสูงถึง 40% นอกจากนี้ทางการยังตั้งเป้าว่า ในปี 2025 ยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในประเทศจะมาจากยอดขายรถยนต์ NEV สูงถึง 20% 

แผนภาพที่ 1: แสดงยอดขายรถยนต์ NEV รายเดือนของจีน ในช่วงปี 2018 - 2020 

ที่มา: Assets.KPMG

นอกจากนั้น บริษัทจัดการการลงทุน ARK Invest เชื่อว่า ในกลุ่มของรถยนต์ NEV รถยนต์ประเภท BEV จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการพัฒนาของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ทำให้ราคาแบตเตอรี่ซึ่งเป็นส่วนที่มีต้นทุนสูงที่สุดของรถยนต์ BEV หรือคิดเป็นราว 30 - 40% ของราคารถยนต์ปรับตัวลดลง และจะส่งผลให้ยอดขายของรถยนต์ BEV ทั่วโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.2 ล้านคันในปี 2020 เป็น 40 ล้านคัน ในปี 2025 หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยทบต้น (CAGR) สูงถึง 85% ต่อปี ในช่วงปี 2020 - 2025

จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาครัฐและแนวโน้มการบริโภคสินค้าและบริการโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากรถยนต์พลังงานสันดาบ (ICE) แบบเดิม มาเป็นรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามาทดแทนการใช้น้ำมัน และประเทศจีนเป็นผู้ที่มีความพร้อมสูงที่สุดที่จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในอนาคต