10 ข้อควรรู้ตลาดหุ้นฮ่องกง: ศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย
บทความนี้ผมชวนท่านผู้อ่านที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงหรืออาจได้เคยลงทุนมาบ้างแล้ว มาทำความเข้าใจกับบทบาทของจีนที่มีต่อฮ่องกงมากขึ้น ผมชวนท่านผู้อ่านคิดและประเมินสถานการณ์ไปพร้อม ๆ กันครับ
โดย บรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง
1. จีนได้ค่อย ๆ รวมฮ่องกงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจีนเพิ่มขึ้นทีละมิติ ซึ่งได้ทำเช่นนี้มานานแล้ว และเป็นความชอบธรรมปกติหลังจากที่อังกฤษได้คืนเกาะฮ่องกงให้กับจีนตั้งแต่ปี 1997 ซึ่งนั่นหมายความว่า ฮ่องกง คือ ประเทศจีน แต่ยังถูกปกครองด้วยวิธี “1 ประเทศ 2 ระบบ” โดยแม้ในช่วงแรกจะมีคนออกมาประท้วง แต่จะเห็นได้ว่า จีนพยายามใช้วิธีละมุนละม่อม โดยใช้มาตรการทางกฎหมายในการจัดการมากกว่าที่จะใช้กำลังทางทหารตำรวจรุนแรง ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันดูเหมือนว่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น แท้จริงแล้วอาจคล้ายกับช่วงแรกตอนที่อังกฤษคืนฮ่องกงให้จีนที่มีผู้ออกมาประท้วงจำนวนมาก แต่ก็ค่อย ๆ คลี่คลายไปตามกาลเวลา
2. ตลาดหุ้นฮ่องกง เป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียมาช้านาน และอย่างไรก็จะเป็นต่อไป ด้วยมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 63 ที่มากกว่า 4 แสนล้านบาท สูงกว่าไทย 6-7 เท่า มีบริษัทจดทะเบียนถึง 2,185 บริษัท และมี ETF จดทะเบียนอยู่ 118 ตัว (ข้อมูล ณ วันที่ 10 พ.ค. 64) และเป็นหนึ่งในตลาดที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ ซึ่งทีม BLS Global Investing ของหลักทรัพย์บัวหลวงที่ได้ให้คำแนะนำแก่ลูกค้าที่ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงก็ได้มีการประสานกับผู้บริหารคนไทยที่ทำงานอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง (HKEX) เพื่อ อัปเดตข่าวสารอยู่ตลอด
3. จีนวางตำแหน่งให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงิน และตั้งใจจะเป็นต่อในระดับโลก สังเกตได้จากการแต่งตั้งอดีตผู้บริหารระดับสูงจาก JPMorgan มาเป็น CEO ของ HKEX ซึ่งตรงนี้สะท้อนถึงความเป็นมาตรฐานโลก (www.scmp.com/business/banking-finance/article/3123959/who-nicolas-aguzin-former-jpmorgan-banker-set-lead-hong) ที่จีนหมายมั่นปั้นให้ฮ่องกงเป็น
4. ในอีกแง่มุมเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นจีนแล้ว จีนดูจะหมายมั่นให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียมากกว่าตลาดหุ้นจีนเองเสียอีก จากการที่นำบริษัทชั้นนำต่างๆ ของจีน ที่เคยจดในสหรัฐฯ ในรูปแบบ American Depositary Receipt (ADR) เข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง แทนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน เช่น Alibaba, Baidu, ZTO Express, Yum China ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของตลาดหุ้นฮ่องกงที่มีต่อจีน ที่ยอมนำบริษัทที่เรียกได้ว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของจีนมาจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
5. ข่าวที่นักลงทุนกังวลจากการที่จีนออกกฎหมายเข้มงวดเรื่องการผูกขาดโดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ แท้จริงแล้วผมมองว่าเป็น Short term pain for long term gains เพื่อสร้างเสถียรภาพระยะยาวให้กับบริษัทอื่น ๆ ในจีน รวมถึงตลาดหุ้นด้วย ซึ่งเรามองว่า จังหวะที่หุ้นจีนฮ่องกงปรับฐานในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังดี ผลประกอบการยังเติบโตได้ เป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นสำหรับนักลงทุนในระยะยาว
6. ฮ่องกงยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียต่อไปและอาจโตถึงในระดับโลก จากการที่เคยถูกปกครองด้วยอังกฤษ ซึ่ง Rule of law หรือเรียกว่า Basic law ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และจีนก็ยังจะคงมาตรฐานแบบนี้ไว้ต่อไป จากเหตุผลที่กล่าวในข้อก่อนหน้า อีกทั้งมาตรฐานในการรายงานข้อมูลต่าง ๆ เช่น รายงานประจำปี ยังต้องมีภาษาอังกฤษ ทำให้มีความเป็นสากลมากกว่า ซึ่งต่างจากในประเทศจีนเอง ที่ไม่ได้บังคับตรงนี้
7. หากเราเชื่อว่าจีนจะขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกทัดเทียมสหรัฐอเมริกา เราคงหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นจีนไม่ได้ เมื่อ 2 วันก่อนที่มีประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire “Warren Buffett” นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกกล่าวว่า 30 ปีก่อน มีบริษัทญี่ปุ่นที่ใหญ่ติด Top 20 โลกถึง 13 บริษัท มีบริษัทอเมริกาเพียง 6 บริษัท แต่ในปัจจุบันบริษัทอเมริกาใหญ่สุดเพิ่มขึ้นมามีถึง 13 บริษัท ขณะที่บริษัทญี่ปุ่นไม่มีเลย โดยมีจีนขึ้นมา 3 บริษัท ซึ่งหากมองไป 30 ปีข้างหน้า เชื่อเหลือเกินว่าจีนจะต้องมีบริษัทที่ใหญ่ขึ้นมาติดอันดับโลกมากกว่านี้ และวิธีการลงทุนในบริษัทแห่งอนาคตที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือลงทุนด้วย Index Fund หรือ ETF ที่กระจายการลงทุนไปยังหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
8. ตลาดเงินฮ่องกงมีความมั่นคงสูง สังเกตได้จากค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง ที่ผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีเสถียรภาพที่สุดในโลก ในกรอบ 7.75-7.85 ดังนั้น ค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกง ก็จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งในจังหวะนี้ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (ปัจจุบัน 31 จากเมื่อ 10 กว่าปีก่อน 40-50 บาท/USD) ทำให้เทียบ Upside/Downside Ratio แล้ว นักลงทุนมีโอกาสกำไรจากค่าเงินได้ด้วยในระยะยาว หากค่าเงินบาทอ่อน
9. การลงทุนหุ้นจีนในตลาดหุ้นฮ่องกงนั้น แท้จริงแล้ว มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนหุ้นจีนที่จดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ เพราะในสหรัฐฯ เองเคยมีความพยายามที่จะ Delist หุ้นจีนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสมัย “Donald Trump” หรือแม้แต่หุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจีนเอง เราก็มองว่าการลงทุนหุ้นจีนผ่านตลาดหุ้นฮ่องกงมีความเสี่ยงน้อยกว่า ดังเหตุผลที่ได้กล่าวในข้อก่อนหน้า
10. เศรษฐกิจฮ่องกงฟื้นตัวได้แข็งแกร่งในไตรมาสหนึ่งปีนี้ โดยโตถึง 7.8% สูงสุดตั้งแต่ปี 2010 หลังจากหดตัวมา 6 ไตรมาส นอกจากนี้ หากพิจารณายุทธศาสตร์ต่าง ๆ ที่จีนทำกับฮ่องกงนั้นเป็นไปเพื่อส่งเสริมการพัฒนาของฮ่องกงในระยะยาว เช่น ยุทธศาสตร์ Greater Bay Area (https://www.the101.world/greater-bay-area/)
กล่าวโดยสรุป ผมเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นจีน-ฮ่องกง เป็นโอกาสในระยะยาวสำหรับนักลงทุน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนกำลังขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของโลกทัดเทียมสหรัฐฯ โดยการลงทุนในหุ้นจีนที่เราเชื่อว่าดีที่สุด คือ ลงทุนผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง ด้วยความที่ฮ่องกงมีกฎหมายรากฐานมาจากอังกฤษ ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก อีกทั้งมีค่าเงินที่มีเสถียรภาพ และการเผยแพร่ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ หากนักลงทุนท่านใดสนใจลงทุนสามารถติดต่อมาได้ที่หลักทรัพย์บัวหลวง 0-2618-1111 หรือที่เว็บไซต์ www.bualuang.co.th/globalinvesting


