การจัดพอร์ต Core And Satellite

สวัสดีครับเพื่อนๆนักลงทุนมาปีนี้ดูเหมือนการลงทุนจะเริ่มฟื้นตัวต่อจากปีที่ผ่านมาเราเผชิญ COVID-19 ที่สร้างความผันผวนให้กับการลงทุนมากเลยทีเดียว การลงทุนโดยเฉพาะหุ้นมีผลตอบแทนที่สูง แต่ก็ตามมาด้วย ความผันผวน หากมีการบริหารจัดการ จัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมจะช่วยให้เป้าหมายการลงทุนของเรา ในระยะยาวประสบความสำเร็จได้ พอพูดถึงเรื่องจัดพอร์ต ก็มีคำถามที่มักจะปรากฏ คือ แล้วควรจัดพอร์ตอย่างไร ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ตรงตามวัตถุประสงค์ แต่ก็ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้  

Core and Satellite การบริหารพอร์ตการลงทุนโดยเฉพาะในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่ตอบสนองนโยบายการลงทุนระยะยาว โดยสามารถยืดหยุ่นปรับพอร์ตตามสถานการณ์ ซึ่งการจัดพอร์ตแบบนี้เป็นที่นิยม โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ โดยเป็นแนวคิดที่ดี และไม่ยากในทางปฏิบัติ รายย่อยอย่างเราสามารถเอาไปปรับใช้ได้ โดยพอร์ต Core and Satelliteมีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วน คือ 1 พอร์ตหลัก หรือ Core Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของนักลงทุนไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนถัดมา คือ Satellite ที่เพิ่มหรือ Enhance Return ให้กับพอร์ตได้ตามสถานการณ์ โดย Core portfolio สัดส่วนของพอร์ตหลักตรงนี้อาจจะมีน้ำหนัก 50% ขึ้นไปของพอร์ตรวม นักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่จะลงทุนใน Benchmark ที่เค้ากำลังจะเปรียบเทียบ เช่น ถ้าเป็นนักลงทุนสถาบันในสหรัฐฯ มี benchmark เป็นดัชนี S&P500  เค้าก็ไปลงทุนกองทุน ETF ที่ล้อตาม S&P500  ซึ่งทำให้พอร์ตเค้าส่วนหนึ่งตามตลาด หรือ ตัวดัชนีอ้างอิง 

ส่วนเราในฐานะนักลทุนไทยจะใช้กองทุนที่เป็น ETF ก็ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นกองทุน BMSCITH หรือ BSET100 ที่เน้นลงทุนในหุ้นใหญ่เป็นหลัก ในส่วน Core portfolio  และอาจจะเพิ่มกองทุนดัชนี ETF ต่างประเทศ อย่าง สหรัฐฯ S&P500 หรือ Nasdaq 100 ผ่านกองทุนอย่าง BCAPUSND100 เพิ่มเติมเป็น Core portfolio ของเราได้ ในส่วนพอร์ตหลักนั้น เราจะถือยาว ๆ แถบไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมันมากนัก เช่น เรารับความเสี่ยงได้ Core Portfolio เรา 60% ประกอบด้วย หุ้นไทย BSET100 สัดส่วน 30% และ BCAPUSND100 อีก 30% การปรับพอร์ต หรือ Rebalance นั้นในส่วนพอร์ตหลักอาจจะไม่บ่อยนักนาน ๆ ดูทีไตรมาส หรือปีละครั้ง  ถ้ากองไหนโตขึ้นมาก ก็อาจขายส่วนกำไรมาเติมกองที่ยังไม่ขึ้นหรือขึ้นน้อย เพื่อคงสัดส่วนเดิมไว้  

ถัดมาในส่วนของ Satellite ที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทน ปรับพอร์ตได้ตามสถานการณ์ ทำให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งน้ำหนักก็จะเป็นส่วนที่เหลือจากพอร์ตหลัก โดยในส่วนของ Satellite ก็ต้องมีการทำการบ้านว่า Theme การลงทุนในช่วงนั้น ๆ มีอะไรที่น่าสนใจ และอาจจะมีธีมการลงทุนที่เราจะสร้างเป็น Satellite ได้ 3-5 ธีมหรือ Asset class ได้เลย ยกตัวอย่าง ธีมหรือ Asset Class ที่สามารถทำ Satellite ได้ เช่น หุ้นรายตัว(แต่ขอให้กระจายการลงทุนหน่อยนะครับ) กองทุนอื่นอย่าง กองทุนหุ้นไทยขนาดกลางเล็ก กองทุนหุ้นโลกที่เน้นเทคโนโลยี นวัตกรรม,  กองทุนหุ้นกลุ่ม HealthCare, กองทุนหุ้นจีน, กองทุนหุ้นเวียดนาม, กองทุนอสังฯ โครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกลงเป็นหุ้นรายตัว หรืออาจจะผ่านกองทุนรวมก็ได้ครับสะดวกดี อย่างตัวอย่างนี้ เรามี Core portfolio 60% อีก 40% เราจะ Satellite โดยลงทุนผ่านกองทุนจีน, กองทุนเวียดนาม, กองทุนเทคฯ และกองทุนเฮลธ์แคร์ อีกอย่างละ 10% ก็สามารถสร้างสีสรรการลงทุน พร้อมเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ โดยในส่วนที่ท่าน Satellite จะ Active หรือเทรด ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ได้ เช่น ผลตอบแทนขึ้นมาถึงเป้าที่ท่านตั้งไว้ ก็ขายทำกำไร หรือตรงกันข้ามเลือกมาขาดทุนเกินกว่าที่ตั้งใจก็สามารถ Stop Loss ได้เช่นกัน หรือหากมีธีม หรือ Asset class ใหม่ที่น่าสนใจกว่าก็สับเปลี่ยนได้ครับ 

Core and Satellite ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ท่านจัดพอร์ตการลงทุนได้อย่างง่ายมีประสิทธิภาพ ในส่วน Core portfolio ของท่านก็จะล้อไปตามตลาด และสามารถสร้างผลตอบแทนพิเศษ หรือ Alpha ได้จากส่วน Satellite โดยหลักทรัพย์บัวหลวงได้ออกรายงาน “TOP Fund” ที่คัดเลือกกองทุนที่เด่นหลากหลายประเภทช่วยให้ท่านเลือกกองทุน ETF ส่วนที่จะสร้างเป็น Core portfolio และสรรหากองที่มี Theme เด่นน่าสนใจมาสร้างเป็นส่วน Satellite ทำให้การลงทุนของท่านเป็นเรื่องที่สะดวกง่ายได้ที่หลักทรัพย์บัวหลวงครับ