posttoday

เศรษฐกิจจีนที่ยังโตได้ในปี 2020…และจะโตต่อเนื่องในปี 2021

26 มกราคม 2564

คอลัมน์ 10 เรื่องต้องรู้ สู่ความมั่งคั่ง โดย...นิษณากาญจน์ ภาษวัธน์ ธนาคารกสิกรไทย

1. ในสัปดาห์ที่แล้ว ทางการจีนประกาศ GDP จีนไตรมาส 4 / 2020 ขยายตัว 6.5% โดยมีแรงหนุนจากภาคการผลิตที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงภาคการบริการที่เริ่มกลับมาดูดีขึ้นในไตรมาส 4 ส่งผลให้ทั้งปี 2020 GDP จีนขยายตัวได้ 2.3% YoY ดีกว่าที่ตลาดคาดที่ 2% และถือว่าดีกว่าประเทศอื่นๆ ที่กลับต้องเผชิญเศรษฐกิจถดถอยหนัก

2. ย้อนกลับไปในไตรมาส 1 ของปี 2020 ที่จีนได้รับแรงกดดันจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ GDP หดตัวแรงถึง 6.8% ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งแรกตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 1992

3. แน่นอนว่า ตลาดทุนก็ตอบรับอย่างน่าตื่นเต้น โดยหุ้นจีน A-share ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในบรรดาหุ้นหลักของโลกในปี 2020 โดยดัชนี CSI300 ให้ผลตอบแทนรวมที่ 30% ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นต่ออีก 6.8% ในปีนี้ (ข้อมูลณ วันที่ 21 มกราคม 2021) ทั้งนี้ เราเริ่มเห็นการ rotate เข้าหุ้นจีนที่เป็น Laggard อย่างหุ้นจีน H-share มากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยดัชนี HSCEI ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 10.7%

4. คำถามสำคัญคือหุ้นจีนที่ปรับขึ้นมานั้น แพงเกินไปหรือยัง? หากพิจารณาจาก 12-month Forward Price Earnings Ratio ของดัชนี CSI300 อยู่ที่ 16 เท่า ลดลงเล็กน้อยจากช่วงปลายปี 2020 ที่ 16.6 เท่า เนื่องจากมีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ 12-month Forward Price Earnings Ratio ของดัชนี HSCEI อยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งถือว่าไม่ได้สูงจากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 8 เท่ามากเท่าไหร่นัก

5. ด้วยพื้นฐานของเศรษฐกิจจีนที่แข็งแกร่งท่ามกลางวิกฤตโควิด 19 ส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา เงินหยวนแข็งค่าขึ้นมากกว่า 9% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และแนวโน้มต่อจากนี้ยังมีโอกาสแข็งค่าต่อไปอีก เพราะ 1) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจีน และสหรัฐฯ สูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี สืบเนื่องมาจากทิศทางการคงดอกเบี้ยในระดับต่ำของ FED ขณะที่ Yield พันธบัตรรัฐบาลจีนก็ปรับตัวสูงขึ้นตามมุมมองเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดี และ 2) ดุลบัญชีเดินสะพัดของจีนปรับสูงขึ้น จากการส่งออกที่ขยายตัวได้เหนือกว่าการนำเข้า สืบเนื่องมาจากการส่งออกเครื่องมือแพทย์ รวมถึงหน้ากากอนามัย ขณะที่การนำเข้าลดลงจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และการเดินทางออกนอกประเทศไม่ได้ของประชาชนจีน

6. สำหรับนโยบายของรัฐบาลจีน KBank Private Banking มองว่าจะยังให้ความสำคัญกับนโยบายเน้นการบริโภคภายในประเทศ เพิ่มเติมจากการเน้นอุปสงค์หรือความต้องการภายนอกประเทศผ่านการส่งออก ภายใต้คำจำกัดความว่า “Dual Circulation” นอกจากนี้ นโยบายอื่นๆ มองว่าจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หนุนการจ้างงาน เปิดตลาดทุนให้ต่างชาติเข้าถึงได้มากขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทเอกชนที่ดูเหมือนจะเสียเปรียบรัฐวิสาหกิจมาโดยตลอด รวมถึงการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน โดยรักษาระดับหนี้ให้ไม่สูงจนเกินไป ซึ่งจะยังพุ่งเป้าไปที่การควบคุมสินเชื่อบ้าน เพื่อควบคุมราคาบ้านในเมือง Tier-1 เช่นเดิม

7. ขณะที่ตลาดมองว่า PBoC จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ตลอดทั้งปี 2021 สอดคล้องกับท่าทีการคงดอกเบี้ยของ PBoC ณ ระดับเดิมเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน โดยปัจจุบันดอกเบี้ยเงินกู้ Loan Prime Rate (LPR) 1 และ 5 ปีอยู่ที่ 3.85% และ 4.65% ตามลำดับ โดยต่อจากนี้ คาดว่าการดำเนินนโยบายของ PBoC จะยังคงเป็นแบบพุ่งเป้าไปยังกลุ่มที่อ่อนแอมากกว่าการกระตุ้นแบบวงกว้าง

8. อีกหนึ่งแรงหนุนต่อเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นจีนมาจากชัยชนะการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ ของนายไบเดน สืบเนื่องจากนโยบายทางการค้าที่ดูแล้วไม่รุนแรงเท่านโยบายโจมตีจีนของนายทรัมป์ แม้ว่ากำแพงภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ บังคับใช้กับจีนคาดว่าจะยังคงอยู่ รวมถึงความกดดันทางด้านการโอนถ่ายเทคโนโลยี และ Intellectual property ยังคงมี แต่โดยรวมก็น่าจะทำให้ข่าวร้ายหรือข่าวโจมตีด้านการค้าจีนน้อยลง

9. อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีนยังมี โดยเฉพาะประเด็นการควบคุมบริษัท Tech และ E-commerce จีน โดยรัฐบาลจีนสอบสวน Alibaba ฐานผูกขาดตลาดซึ่งร้านค้าถูกจำกัดอิสระในการขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอื่นที่เป็นคู่แข่ง โดยในระยะสั้นคาดว่าหุ้น Alibaba จะอยู่ภายใต้แรงกดดันอีกซักพัก รวมถึงบริษัท Tech อื่นๆ เช่น Tencent, JD.com, Meituan, Pinduoduo และ Didi Chuxing ซึ่งจะนำมาสู่ประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากรที่ลดลง รวมถึงทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนชะลอลง เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจ Tech เป็นตัวหลักในการผลักดันเศรษฐกิจจีน

10. สำหรับกลยุทธ์การลงทุน เรายังคงแนะนำลงทุนในหุ้นจีน โดยเน้นการกระจายตัวออกจากหุ้นจีน A-share เข้าสู่ H-share มากขึ้น เนื่องจากมองว่าเทรนการ rotate เข้าหุ้นที่ยังเป็น laggard จะยังคงมีอยู่ รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในหุ้นจีนหลายๆ ตลาดจะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงได้เพิ่มเติม