posttoday

ปรับตัว...เมื่อโลกการลงทุนติดเชื้อ COVID-19

08 เมษายน 2563

คอลัมน์ตลาดนัดการเงิน โดย...พรชัย อร่ามอาภากุล ผู้บริหารงานส่งเสริมการลงทุนลูกค้า CFP? ธนาคารกสิกรไทย

“เราติดเชื้อ COVID-19 รึยังนะ?” เป็นคำถามในใจที่หลายคนวิตกกังวลในช่วงนี้ เพราะตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ประเทศจีนปลายปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน เราตระหนักได้ว่า COVID-19 ใกล้ตัวเรามากแค่ไหน โดยหากดูจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งไม่หยุดรวมทั้งวิธีการแพร่กระจายของเชื้อแล้ว โอกาสการติดเชื้อแบบไม่รู้ตัวนั้นถือว่าสูงมาก มาตรการที่เกิดขึ้นมารองรับ คือ การรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การทำงานจากบ้าน (Work from home) รวมถึงมาตรการ "เจ็บแต่จบ" อย่างการปิดเมืองหรือปิดประเทศ (Lockdown) ซึ่งบางประเทศทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันกาลสามารถช่วยให้ลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้ชัดเจน ส่วนบางประเทศที่การบริหารจัดการทำได้ไม่ดีพอจะส่งผลอย่างรุนแรงต่อจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นและยากต่อการจัดการ

เศรษฐกิจป่วยหนักแค่ไหน?

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปทั่วโลกนี้ นอกจากสร้างความสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่แล้วยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจทั่วโลกให้หยุดชะงัก หลายธุรกิจประสบปัญหาอย่างหนัก เช่น ธุรกิจการบิน และ โรงแรม ที่ได้รับผลโดยตรง ส่วนธุรกิจอื่นก็ได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สิ่งที่ตามมาคือ ลูกจ้างที่ตกงาน และการบริโภคต้องชะลอลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกคนใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่สิ่งที่เรารับรู้อาจเป็นเพียงแค่ปลายภูเขาน้ำแข็ง เพราะเดิมทีเศรษฐกิจก็อยู่ในช่วงปลายวัฏจักรอยู่แล้ว COVID-19 อาจเป็นเพียงตัวเร่งให้วิกฤติเกิดเร็วขึ้น หลังจากนี้สิ่งที่ตามมาแน่นอนคือ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและมีสุขภาพทางการเงินที่ไม่แข็งแรงย่อมล้มหายลงไปทั้งบริษัทขนาดเล็กและขนาดใหญ่ การผิดนัดชำระหนี้เป็นอีกเรื่องที่จะเกิดขึ้นเพราะดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นเวลานานนั้นทำให้เกิดการสร้างหนี้ที่เกินจำเป็น การเกิดเศรษฐกิจชะงักงันทำให้รายได้ลดลงขณะที่รายจ่ายยังคงมีอยู่ย่อมส่งผลให้การผิดนัดชำระหนี้เป็นอีกปัญหาที่ตามมา

ขณะที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยรุนแรงเช่นกัน โดยแบงก์ชาติประเมิน COVID-19 กระทบเศรษฐกิจรุนแรง คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบถึง 5.3% สาเหตุมาจากผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหดตัวราว 60% ในปีนี้ นอกจากนี้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าทั่วโลกจะชะลอตัวแรงส่งผลต่อการส่งออกให้หดตัวลงด้วยเช่นกัน

โลกการลงทุนก็ป่วยหนักเช่นกัน

วิกฤติเศรษฐกิจที่ว่ามักจะมาเมื่อเราไม่รู้ตัวนั้นคือเรื่องจริง วิกฤติรอบนี้ก็เช่นกัน สินทรัพย์การลงทุนต่างก็อาการสาหัส สาเหตุที่ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ปรับตัวลดลงรุนแรง แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจซึ่งมากบ้างน้อยบ้าง แต่โลกการเงินนั้นรับรู้เร็วกว่านั้น ความตื่นตระหนกได้สะท้อนสู่ราคาสินทรัพย์ต่างๆอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างรุนแรงจนตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้ “Circuit Breaker” ถึง 2 ครั้งในสัปดาห์เดียว โดยหากเทียบกับวิกฤติอื่นอย่าง วิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี 2540 และวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอเมริกาแล้ว วิกฤติ COVID-19 อาจยังไม่รุนแรงเท่า หากดูจากผลตอบแทนขาดทุนสูงสุด (Drawdown)ของแต่ละวิกฤติ ตามตาราง

ปรับตัว...เมื่อโลกการลงทุนติดเชื้อ COVID-19

แม้วิกฤติ COVID-19 รอบนี้เบื้องต้นตลาดหุ้นไทยยังปรับลงแรงไม่เท่าวิกฤติครั้งก่อนๆ แต่ยังสรุปเลยไม่ได้เพราะเรายังไม่ได้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ อย่างไรก็ดีสินทรัพย์ประเภทอื่นทั้งตราสารหนี้รวมทั้งทองคำที่จัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยก็ยังถูกเทขายออกมาเช่นกัน เพราะในช่วงที่นักลงทุนทั่วโลกตื่นตกใจ สิ่งที่นักลงทุนเลือกถือคือเงินสด ทำให้โลกการลงทุนมีแต่อยากขายแต่ไม่ค่อยมีคนอยากซื้อ ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ปรับลงก็ยิ่งส่งผลต่อความกังวลเพิ่มมากขึ้นต่อนักลงทุน ดังนี้นักลงทุนน่าจะพอเห็นภาพของการลงทุนว่าป่วยหนักแค่ไหน

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่ตรงไหน?

ถึงวันนี้เรายังไม่เห็นแสงแห่งความหวังที่ชัดเจนนัก หลังจำนวนผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลกต่อเนื่อง แม้มาตรการต่างถูกใช้อย่างเข้มข้นก็ตาม คงต้องช่วยกันภาวนาว่าสถานการณ์จะดีขึ้นภายในไตรมาส 2 หรืออย่างน้อยเราควรจะผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดไปได้แล้วในครึ่งปีแรกนี้ ดีไปกว่านั้นหากโลกของเราสามารถคิดค้นวัคซีนในการสร้างภูมิคุ้มกัน COVID-19 ได้สำเร็จ โดยการแข่งขันผลิตวัคซีนเป็นไปอย่างเข้มข้นทั้งจากบริษัทยาขนาดใหญ่ในประเทศจีน, สหรัฐฯรวมทั้งประเทศอื่นๆด้วย

อย่างไรก็ตามบาดแผลที่ COVID-19 สร้างไว้ต่อระบบเศรษฐกิจอาจต้องใช้รักษาที่นานกว่านั้นในการฟื้นฟู ส่วนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว (V-Shape Recovery) หรือฟื้นอย่างช้าๆ (U-Shape Recovery) ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะลากยาวแค่ไหน สิ่งที่เรารู้ในตอนนี้มาตรการกระตุ้นทั้งการเงินและการคลังทั่วโลกที่ถูกใช้มาแล้วนั้นถือว่าเป็นยาแรงที่น่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ เพราะระดับความเข้มข้นของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นไม่น้อยกว่าวิกฤติซับไพร์มที่สหรัฐฯ ปี 2008 เลยทีเดียว โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ กระตุ้นเศรษฐกิจจนเรียกได้ว่า "เทหมดหน้าตัก" ทั้งปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 1.50% จนเหลือแค่ระดับ 0-0.25% ซึ่งต่ำสุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังใช้ยาขนานเดิมที่เคยใช้ได้ผลกับวิกฤติซับไพร์ม คือซื้อพันธบัตรรัฐบาล และ ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัย (QE) แบบไม่จำกัดวงเงินและไม่กำหนดวันสิ้นสุด หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก็งัดมาตรการกระตุ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

นักลงทุนควรปรับตัวอย่างไรให้รอดวิกฤติ

1. เตรียมสภาพคล่องทางการเงิน โดยปกติเราควรมีสินทรัพย์สภาพคล่อง เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร ที่เรามีไว้ใช้หรือสำรองไว้ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายประจำขั้นต่ำ 3 – 6 เดือน แต่เมื่อวิกฤติเกิดขึ้นเราควรเพิ่มสภาพคล่องให้มากขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 6 เดือน – 1 ปี เพื่อให้สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายซึ่งยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเกิดอีกนานเท่าไร

2. หากเตรียมเงินสำหรับข้อ 1 เรียบร้อยแล้ว มีสภาพคล่องส่วนเกินนำมาวางแผนการลงทุน โดยการลงทุนในภาวะวิกฤติถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมากเพราะหากเรามีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงก่อนเกิดวิกฤติมาถึงปัจจุบันสถานะการลงทุนของเราคงขาดทุนมาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ควรมองเป็นโอกาสที่จะได้ลงทุนในต้นทุนที่ถูกลงมามากในหลายๆสินทรัพย์

3. การลงทุนควรเป็นไปอย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงต้นทุนในการเข้าซื้อ ควรทยอยลงทุนอย่างระมัดระวังเพราะในภาวะวิกฤติราคาของสินทรัพย์เสี่ยงมักมีความผันผวนสูงมาก ดังนั้นการทยอยลงทุนจะช่วยให้เราได้กระจายความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนของการลงทุนให้สมเหตุสมผล และทำให้เราไม่เครียดจนเกินไปอีกด้วย

ทุกวิกฤติ...มีโอกาสเสมอ

ทุกครั้งวิกฤติผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แน่นอนว่าในที่สุด วิกฤติ COVID-19 ก็จะต้องคลี่คลายและเศรษฐกิจก็จะฟื้นและตลาดหุ้นก็จะปรับตัวอย่างแข็งแรงอีกครั้ง แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้นไม่มีใครตอบได้ ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีครับ