posttoday

ฝ่าวิกฤติด้วยวินัยการลงทุน และการวางกลยุทธ์ล่วงหน้า

06 เมษายน 2563

โดย...ดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร และนายธวัชชัย วงศ์รัตนศิริกุล ผู้จัดการกองทุน บลจ.บางกอกแคปปิตอล

ความไม่แน่นอนในการลงทุนมีมากมายจริง ๆ อย่างเช่นปีนี้ในช่วงเดือนมกราคม เรายังเห็นสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ได้รับอานิสงส์ จากข้อยุติในสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ และ จีน ที่ยืดเยื้อกันมาหลายปี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่กันเป็นแทบจะทุกวัน จนหลายคนมองว่าปีนี้ น่าจะเป็นปีที่ดี สำหรับการลงทุนอีกปีหนึ่ง กระทั้งปลายเดือนมกราคม เริ่มมีข่าวโรคระบาดจากเชื้อไวรัสเกิดขึ้นในประเทศจีนและระบาดจนเกินกว่าจะควบคุมได้ จนต้องมีมาตรการปิดเมืองและสั่งห้ามกรุ๊ปทัวร์ออกนอกประเทศจีน ในเบื้องต้นผลกระทบต่อตลาดหุ้นเกิดขึ้นในวงจำกัด โดยเฉพาะหุ้นในประเทศที่มีสัดส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับประเทศจีนสูง แน่นอนประเทศไทยต้องอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เพราะเรามีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนสูงถึงร้อยละ3 ของเศรษฐกิจประเทศและมีสัดส่วนสินค้าส่งออกไปประเทศจีนสูงถึงร้อยละ 17

ในที่สุดการระบาดก็ไม่สามารถควบคุมได้และแพร่กระจายออกไปสู่ทวีปยุโรปและอเมริกาในเดือนกุมภาพันธ์และจำนวนผู้ป่วยทั่วโลกแตะระดับแสนคนในช่วงต้นมีนาคมตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเข้าสู่ Bear Market หรือตามคำจำกัดความที่ว่าตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงต่ำกว่าร้อยละ20 ตลาดหุ้นไทยนำทีมเข้าสู่ Bear Market ก่อนประเทศอื่นๆกล่าวคือเราเข้าสู่ตลาดขาลงตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ ในสถานการณ์ปัจจุบันแม้นักลงทุนจะมีการกระจายเงิน(Diversify)ไปทุนตามที่ต่างๆทั่วโลกแต่ก็ไม่สามารถป้องกันผลติดลบของพอร์ตการลงทุนได้เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงของระบบ(Systematic Risk)

เรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสก็ต้องยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่เกินกว่าจะคาดเดาและรู้ล่วงหน้า(Uncertainty)จนสามารถป้องกันได้โดยการปรับสัดส่วนของสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์( Tactical Asset Allocation) เช่นการย้ายหุ้นเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลได้ก่อนเหตุการณ์ดังนั้นนักลงทุนที่กล้าตัดสินใจก่อนอาจลดผลจากการขาดทุนได้มากกว่านักลงทุนที่ตัดสินใจช้ากว่า

การลงทุนมีความเสี่ยงและตลาดมีทั้งช่วงที่ดีและช่วงที่แย่หัวใจสำคัญที่อาจจะพูดง่ายแต่ทำยาก คือการพยายามลดการขาดทุนในช่วงที่ตลาดแย่และการเพิ่มผลกำไรในช่วงที่ตลาดดีนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จใช้ทั้งหลักการกระจายความเสี่ยงและการปรับสัดส่วนของสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ในการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะการลงทุน ในช่วงที่ตลาดอยู่ในช่วงตื่นตระหนกอาจจะเป็นปัจจัยเร้าที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาด ดังนั้นสิ่งที่ช่วยปรับจิตใจของนักลงทุนได้คือวินัยการลงทุน วินัยในการลงทุนในช่วงวิกฤตคือการวางแผนการลงทุน ยกตัวอย่างเช่น การพยายามมองหาจุดเปลี่ยน(Turning point)และวางกลยุทธ์ไว้ล่วงหน้าก่อน ปัจจุบันเราไม่สามารถประเมินได้ว่าการระบาดจะกินระยะเวลานานเพียงใดและผลเสียหายต่อเศรษฐกิจจะมากมายขนาดใดแต่สิ่งที่นักลงทุนจะต้องถามตัวเองว่าจะเข้าซื้อหุ้นจังหวะไหนซึ่งคำตอบอาจจะเป็นช่วงที่การแพร่ระบาดของไวรัสเริ่มลดลงหรือเมื่อมีการค้นพบยารักษาโรค และคำถามอาจจะต้องครอบคลุมไปถึงว่าจะซื้ออะไรเช่นประเทศที่มีความสามารถจะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากหรือกลุ่มของบริษัทที่มีพื้นฐานการเงินที่แข็งแกร่งมีความพร้อมที่จะดำเนินธุรกิจได้เป็นต้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้และมีผลกระทบในระดับที่สูง หรือที่เรียกว่า Black Swan เปรียบเทียบได้กับสมัยก่อนคนทางยุโรปคิดว่าหงส์ต้องมีแต่สีขาวไม่เคยมีคนคิดว่าหงส์จะมีสีดำจนกระทั้งการเดินทางสำรวจพบทวีปออสเตรเลียและเจอกับหงส์ดำตัวแรก เช่น เดียวกันกับ ไวรัสCovid-19 พอเรามีองค์ความรู้ที่มากพอ ไวรัสชนิดนี้ก็อาจจะเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาชนิดหนึ่ง สุดท้ายทุกวิกฤตก็มีโอกาสขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีและมีสติในการลงทุนพร้อมทั้งรักษาสุขภาพและเงินลงทุนไว้เพื่อที่จะได้ฟื้นกลับมาได้เร็วเมื่อโอกาสมาถึง