posttoday

บล็อกเชน ช่วยบรรเทาผู้ยากไร้

02 ตุลาคม 2562

คอลัมน์ บล็อกเชนเปลี่ยนโลก

คอลัมน์ บล็อกเชนเปลี่ยนโลก

เรื่อง บล็อกเชน ช่วยบรรเทาผู้ยากไร้

โดย จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์

....................................................

แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “เงิน” นั้นถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญต่อการดำรงชีวิต เพราะเงินเป็นสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนของผู้คนในสังคมมาช้านาน ด้วยเหตุนี้ วิธีการแลกเปลี่ยนต่างๆ ค่อยๆ ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่อดีต จวบจนเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ทำธุรกรรมทั่วโลกในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ยังมีประชากรอีกกว่า 2 ล้านล้านคนทั่วโลก ที่เทคโนโลยีดังข้างต้น ไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาความยากจนได้ โดยสาเหตุหลักเกิดจากการไม่สามารถเข้าถึงธุรกรรมของธนาคาร จึงมีทางเลือกใหม่ที่ได้ถือกำเนิดขึ้นและสามารถนำมาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหานี้ นั่นก็คือ “บล็อกเชน”

บล็อกเชนช่วยได้อย่างไร

อย่างแรกเลย บล็อกเชนนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส เพราะทุกๆ ธุรกรรมจะถูกบันทึกไว้ในระบบและมีการคัดลอกไว้กระจายไปทั่วทั้งโครงข่าย ทุกคนที่เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงข่ายจะมีข้อมูลชุดเดียวกันถืออยู่ในมือ สามารถตรวจสอบย้อนหลังถึงที่มาที่ไปได้ทั้งหมด

นอกจากนี้ โดยทั่วไปการทำธุรกรรมกับธนาคารนั้นมักจะมีข้อจำกัดอะไรหลายๆ อย่าง อาทิ เรื่องระยะเวลาทำการ ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม รวมไปถึงขั้นต่ำในการเปิดบัญชีและความรั่วไหลของข้อมูล (หลายๆ ท่านคงเคยมีประสบการณ์ได้รับสายจากเบอร์แปลกๆ จากตัวแทนประกันต่างๆ)

แต่ระบบบล็อกเชนจะสามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างไร้ข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นด้านเวลาหรือสถานะของผู้ใช้ ปัญหาในการเข้าถึงทรัพยากรทางการเงินก็จะลดลงเพราะผู้ใช้งานสามารถทำธุรกรรมผ่านระบบบล็อกเชนได้ทุกที่ ทุกเวลา และเนื่องด้วยไม่จำเป็นต้องใช้เงินขั้นต่ำในการเปิดบัญชี ทำให้การทำธุรกรรมมีความสะดวก รวดเร็วมากขึ้น รวมไปถึงเมื่อผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงธนาคารและทำธุรกรรมได้มากขึ้น โอกาสในการใช้จ่ายและได้รับเงินก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ตัวอย่างเช่น ในประเทศแอฟริกาที่ในการเปิดบัญชีธนาคารต้องใช้เงินขั้นต่ำเป็นจำนวนมาก ซึ่งในบางครั้งก็มากกว่าเงินออมทั้งปีของบางคนเลยด้วยซ้ำ

จากข้อดีที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้น ใช่ว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะดีที่สุดหรือเหมาะสมกับทุกคน เพราะการถือวอลเล็ตที่ไม่มีแม้แต่ชื่อของผู้ถือและโอนไปวอลเล็ตที่ไม่ทราบแม้แต่ชื่อผู้รับนั้นเรียกได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนแบบ Peer to Peer อย่างสมบูรณ์ นั่นคือผู้ใช้ต้องรับผิดชอบกับวอลเล็ตและเงินในมือของตัวเอง ไม่มีใครมาคอยกู้รหัสหรือตามเรื่องให้ได้หากถูกหลอกให้โอนเข้าวอลเล็ตปลอม

ดังนั้น ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ยิ่งสูงมาก นั่นหมายความว่าต้องแลกมากับความเสี่ยงและความรับผิดชอบที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นควรศึกษาหาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนใช้งาน

บล็อกเชนสามารถนำไปปรับใช้ด้านใดได้บ้าง

ด้วยความเชื่อที่ว่า “ยิ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงระบบธุรกรรมหรือสิ่งอำนวยความสะดวกได้มากเท่าไหร่ ผู้ใช้งานก็จะยิ่งมีโอกาสเท่าทันโลกปัจจุบันและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เกิดคุณประโยชน์แก่ตนเองมากขึ้นเท่านั้น”เปรียบเสมือนหากเทคโนโลยีตัวนี้ถูกยอมรับและนำไปใช้อย่างถูกวิธี จะสามารถนำไปปรับใช้สำหรับแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้มากมาย ตัวอย่างประโยชน์ของบล็อกเชนสามารถใช้ได้หลายด้านดังนี้

1.สร้างตัวตน

ในปัจจุบัน มีเด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบถึง 200 ล้านคน ทั้งในประเทศที่ด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา ไม่ได้รับการยืนยันตัวตนและถิ่นอาศัย เนื่องจากอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทและหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงได้ยาก นอกจากนี้ยังมีเด็กอีกจำนวน 80 ล้านคนที่ไม่มีใบสูจิบัตร

การไม่สามารถเข้าถึงความพัฒนาได้นี้ก็เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดวงจรความยากไร้ได้ เพราะตอนเกิดไม่มีใบยืนยันตัวตนหรือเชื้อชาติในประเทศนั้นๆ เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็เสียสิทธิ์ที่จะรับบริการสาธารณะประโยชน์จากรัฐบาลหรือประเทศนั้นๆได้ เช่น การศึกษา สิทธิ์ในการประกอบธุรกิจและต่างๆ อีกมากมาย บล็อกเชนจะมามีบทบาทในการ บันทึกและตัวตนของเด็กเหล่านี้ได้ในอนาคต การบันทึกข้อมูลหรือสูจิบัตรจะสามารถทำได้ตั้งแต่ที่โรงพยายามที่คลอดเลยทีเดียว

2.กระตุ้นการเข้าถึงทรัพยากรการเงิน

บล็อกเชนจะทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงการทำธุรกรรมมากขึ้น ใช้งานง่ายและรวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลถึงข้อจำกัดในเรื่องค่าธรรมเนียมและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล, คลายความกังวลว่าภาครัฐจะแอบเกาะหลังดูงบการเงินลับๆ ของคุณ , สามารถระดมทุนจำนวนมหาศาลได้ในระยะเวลาสั้นๆ จากนักลงทุนทั่วโลก , สามารถโอนเงินจำนวนมากข้ามโลกโดยเสียค่าธรรมเนียมเพียงหยิบมือ , แอบซื้อของที่อยากได้มานานโดยที่คนที่บ้านไม่รู้ , ใช้ค่าเงินเดียวกันในการซื้อของจากหลายประเทศได้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงินไปมาหลายๆ สกุล

จากตัวอย่างข้างต้น ผู้อ่านก็อาจพอจะจินตนาการได้ว่าบล็อกเชนและเงินดิจิทัลนั้นสามารถพังทลายกำแพงในการใช้จ่าย และสามารถทำให้เงินสามารถสะพัดไปทั่วโลกได้ขนาดไหน

3.กระตุ้นการขับเคลื่อนของธุรกิจขนาดย่อม

เมื่อผู้ใช้งานนำบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดเก็บข้อมูล , การจัดการsupply chain , ระบบบัญชีและแต้ม point หรือแม้แต่ระบบการชำระเงินที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงลูกค้าและตลาดได้หลากหลายและไร้พรมแดน นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมการทำธุรกิจกับต่างชาติและมีฐานลูกค้าที่หลากหลาย สามารถระดมทุนในการต่อยอดธุรกิจของคุณได้จากนักลงทุนทั่วโลกหากโมเดลธุรกิจของคุณนั้นเจ๋งพอ

บทบาทของบล็อกเชนในประเทศไทย

ปัจจุบัน หลายบริษัทในประเทศไทยเริ่มมีการตื่นตัวถึงการมาของเทคโนโลยีตัวนี้ รวมไปถึงหน่วยงานใหญ่ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มมีการจัดงานสัมนาแลกเปลี่ยนและให้ความรู้เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีตัวนี้มากขึ้น หรือแม้แต่ธนาคารหลายๆ แห่งในไทยเริ่มมีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาปรับใช้กับระบบการจัดเก็บข้อมูลภายในเช่นกัน

นอกจากบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทจะตื่นตัวแล้ว ก็มีผู้คนอีกจำนวนมากที่ได้คิดแคมเปญในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนกับอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ตัวอย่างเช่น ทีม Private Chain ที่ได้เสนอแบบจำลองการใช้บล็อกเชนสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยในการซื้อขายจะไม่ผ่านคนกลางหรือโบรกเกอร์ ส่งผลให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและร่นระยะเวลาในการเปลี่ยนมือ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถซื้อขายกับบริษัทที่อยู่นอกตลาด เพิ่มอัตราการเติบโตของสตาร์ทอัพและธุรกิจขนาดย่อมด้วย

ดังข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าบล็อกเชนถือเป็นเทคโนโลยีตัวใหม่ที่น่าสนใจและควรศึกษาอย่างมาก เนื่องด้วยคุณประโยชน์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กับประชากรทั่วโลก ทั้งพวกปัญหาความเหลื่อมล้ำและการขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลหรือช่องทางในการทำธุรกรรม หากเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม(โดยเฉพาะภาครัฐ) ปัญหาที่สะสมมานานก็สามารถลดลงได้

แต่ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นเทคโนโลยีตัวนี้ทำให้ผู้ใช้และถือบัญชีมีความเป็นปัจเจกอย่างสมบูรณ์ ความปลอดภัยที่มากย่อมมาจากความรับผิดชอบที่มากตาม ควรศึกษาข้อมูลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนใช้งาน รวมไปถึงการสร้างบล็อกเชนใหญ่ๆ ขึ้นมาใช้ในองค์กรระดับภาครัฐ เช่น การจัดเก็บข้อมูลประชากรนั้นใช้ทรัพยากรและเม็ดเงินที่มหาศาลมาก (แตกต่างจากการทำธุรกรรมโดยการโอนเงินดิจิทัลไปมาอย่างสิ้นเชิง) ดังนั้นควรวางแผนการจัดการให้ดี