posttoday

ยูตะ ซาโตะ ‘ครอบครัวของผมเป็นจิตรกร’

04 ตุลาคม 2560

ยูตะ ช่างแต่งหน้าจากแดนอาทิตย์อุทัย การแต่งหน้าไม่ต่างจากการวาดภาพ

 

การแต่งหน้าไม่ต่างจากการวาดภาพ ยูตะ ซาโตะ อินเตอร์เนชั่นแนล เมกอัพ อาร์ติสต์เครื่องสำอางแบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่น ทรี (Three) เล่าพื้นฐานครอบครัวของเขาเป็นศิลปินทั้งครอบครัวก็ว่าได้ ตั้งแต่คุณตามีอาชีพเป็นจิตรกร คุณแม่ก็ได้รับการผ่องถ่ายฝีมือมาเต็มร้อย ส่งต่อมายังพี่ชาย และตัวเขาเองที่ใฝ่ฝันเป็นศิลปินกันทั้งบ้าน

ความเป็นศิลปินจึงอยู่ในสายเลือด ยูตะ ช่างแต่งหน้าจากแดนอาทิตย์อุทัย เริ่มต้นสนทนาด้วยบุคลิกนิ่งๆ เท่ๆ ซึ่งหลายคนก็ถามเขาว่า แล้วทำไมจึงเลือกอาชีพในวงการเครื่องสำอาง คำตอบก็คือสำหรับเขาการแต่งแต้มบนใบหน้าสตรี ก็คือ งานศิลปะอย่างหนึ่ง ดีกว่านั้นอีก คือ ถ้าเป็นจิตรกรก็ไม่ได้พูดคุยกับใคร สมาธิจ้องจดจ่ออยู่แต่แผ่นเฟรมว่างเปล่า แต่อาชีพที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ได้พูดคุย ได้พบปะสังสรรค์กับผู้คนหลากหลายวงการ โดยมีความภาคภูมิใจในงานกับการสร้างสรรค์ความงามให้ผู้คนทั่วโลก

เส้นตรงคือกุญแจความงาม   

 

 

ยูตะ ซาโตะ ‘ครอบครัวของผมเป็นจิตรกร’

 

 

“ผมเดินทางมาเมืองไทยมากกว่า 30 ครั้งแล้วนะครับ” ยูตะ บอกพลางหัวเราะกับจำนวนครั้ง ที่เชื่อมั่นว่าคนฟังต้องพากันแปลกใจแน่ๆ การมาเยือนเมืองที่สวยงามน่าท่องเที่ยวที่สุด แต่ช่างแต่งหน้าหนุ่ม บอกว่า ไม่ได้ไปไหนมาไหนเลย มาถึงก็ทำงานแต่งหน้านางแบบ และเนรมิตความงามให้สาวๆ ที่เคาน์เตอร์ทรี อยู่แต่ในกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นอีกออฟฟิศหนึ่งไปแล้ว

“ผู้หญิงไทยมีเอกลักษณ์ชัดเจนครับ ในความเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใส แต่พวกเธอก็แฝงความขี้อายอยู่ในรอยยิ้มด้วย ซึ่งผมว่านี่คือความสวยจากภายในแท้จริง แล้วทำให้ดูงามไม่ซ้ำแบบผู้หญิงชาติใดอีกด้วยครับ”

ยูตะ โปรยยาหอมเริ่มต้นสนทนา จากการสะสมประสบการณ์ในด้านเมกอัพเป็นเวลาเกือบ 10 ปี โดยทำงานร่วมกับนิตยสารหลายฉบับในญี่ปุ่น และยังทำงานแฟชั่นโชว์ และงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์มากมาย

“พี่ชายกับพี่สะใภ้ของผม บุกเบิกอาชีพเป็นเมกอัพ อาร์ติสต์ มาก่อนครับ ซึ่งในตอนเด็กๆ ผมก็มีความสนใจในด้านการวาดภาพ จนกระทั่งเมื่อเติบโตขึ้นก็รู้ว่าอาชีพจิตรกรไม่ใช่เรื่องง่ายๆ พอพี่ชายลองทำงานช่างแต่งหน้า มีคำแนะนำดีๆ ให้ผมสนใจ พอได้ทำก็รู้สึกถึงความหลงใหลมากๆ ผมจึงหันเหไปในด้านการเมกอัพ และลองสร้างสรรค์สไตล์ที่เป็นของตัวเองขึ้นมา ซึ่งมันก็ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างจากช่างแต่งหน้าคนอื่นๆ

คนแรกที่ชมผม คือ คุณแม่ ผมก็รู้สึกว่ามาถูกทางแล้ว แบบฉบับของช่างแต่งหน้าชาวญี่ปุ่น ไม่เหมือนชาติใดนะครับ คือ เราจะแต่งหน้าให้น้อยที่สุด ให้ดูธรรมชาติมากที่สุด

สำหรับสไตล์ของผม ใช้เส้นตรงเข้ามาใช้ในการแต่งหน้า ซึ่งก็เป็นพื้นฐานจากการวาดภาพนั่นเองครับ ผมใช้เส้นตรง ตั้งแต่คิ้ว อายไลเนอร์ แทนที่จะเขียนโค้งไปตามขอบตา ผมกรีดด้วยเส้นที่ตรงขึ้น หรือเฉดดิ้งโหนกแก้มเชื่อมหลังใบหู ไปจนถึงขอบริมฝีปาก เมื่อลงสีสันเมกอัพไปตรงบริเวณเหล่านี้ ก็จะทำให้ผู้หญิงเปลี่ยนไปได้ชัดเจน เพราะใบหน้าคนเราจะไม่ค่อยมีเส้นที่ตรงแบบนี้ การแต่งเติมเส้นตรงลงไปก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจน ผลลัพธ์ก็คือพวกเธอสวยขึ้นเลยครับ”  

ยูตะ เข้ามาร่วมงานกับแบรนด์ ทรี ในปี 2010 ซึ่งการได้ทำงานใกล้ชิดร่วมกับครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ ริเอะ โอโมโตะ คือ ก้าวสำคัญในการสั่งสมประสบการณ์

“แบรนด์ชื่อสั้นและเรียบง่าย แต่ให้ความหมายที่ลึกซึ้ง ผมเริ่มงานด้วยแนวคิดหลัก 3 แนวคิด คือ Natural เน้นส่วนผสมจากพืชธรรมชาติ Honest การให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์ตรงไปตรงมาของแบรนด์ แสดงถึงความรับผิดชอบต่อผู้ใช้ และ Creative การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อผู้หญิงยุคใหม่ เพื่อให้การแต่งหน้าเป็นเรื่องง่าย และให้ผลลัพธ์อย่างมืออาชีพ

3 ข้อนี้ คือ ปรัชญาและแนวคิดของแบรนด์ และผมทำงานด้วยความเชื่อมั่นว่าความงามสำหรับผู้หญิงในมุมมองใหม่ในปัจจุบัน ไม่มีรูปแบบที่แน่นอน และไม่สามารถให้คำจำกัดความตายตัวได้    

ไม่ว่าอย่างไร ความงดงามต้องซ่อนอยู่ภายในจิตใจด้วย ประโยคนี้ไม่ได้พูดลอยๆ สวยๆ (บอกพลางยิ้ม) เพราะความงามมาจากตัวตน จะเผยให้เห็นถึงความงามเสริมด้วยพลังของเมกอัพ ที่สามารถทำให้ทุกๆ คนรู้สึกมั่นใจและรู้สึกดีกับตัวเองมากยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่าในผู้หญิงแต่ละคนล้วนมีความงามอันเป็นเอกลักษณ์ ในฐานะของการเป็นเมกอัพ อาร์ติสต์ ผมต้องการค้นหาสีสันที่เข้ากันได้ดีกับแต่ละคน เพื่อสร้างสรรค์ความงามได้อย่างลงตัว ซึ่งช่วยเผยให้เห็นถึงความงามที่ซ่อนอยู่ในตัว และทำให้พวกเธอรู้สึกสนุกสนานกับการแต่งหน้า”

 

ผู้ชายก็แต่งตัว-แต่งหน้าได้ (นะ!)

 

 

ยูตะ ซาโตะ ‘ครอบครัวของผมเป็นจิตรกร’

 

เส้นทางอาชีพเมกอัพ อาร์ติสต์ เริ่มชัดเจนเพียงอายุ 17 ปีเท่านั้น ความใฝ่ฝันคือได้ก้าวไปสู่เวทีแฟชั่นระดับโลก โดยมีแบรนด์โปรด คือ มาร์แตง มาร์เจลล่า ดีไซเนอร์ผู้บุกเบิกแฟชั่นแนวอาวองต์การ์ด เสื้อผ้าที่เขาใส่ประจำ ก็คือ แบรนด์นี้

“ก็ยังเป็นความใฝ่ฝันอยู่ครับ (ยิ้ม) ผมได้ไปแต่งเวทีปารีสแฟชั่นวีก แต่ก็ยังไม่ได้แต่งให้แบรนด์ในฝัน ซึ่งตอนนี้ผมไม่ได้ซื้อเสื้อผ้า มาร์แตง มาร์เจลล่า และไม่ใช่แบรนด์ในฝันไปแล้วละครับ เพราะเขาเปลี่ยนดีไซเนอร์เป็น จอห์น กัลลิอาโน แฟชั่นกูตูร์ไปสำหรับการทำงานนะครับ เสื้อผ้ารวมทั้งรองเท้าที่ผมใส่ตอนนี้เป็นโลคัลแบรนด์ของญี่ปุ่น แบรนด์ Devoa นอกจากความสนุกสนานของการดีไซน์แล้ว อย่างเช่น รองเท้า ก็มีจินตนาการใส่รอยเท้าคนเข้าไปให้เหมือนรอยเท้าสุนัข หรือแมว ที่ชอบเหยียบไปบนพื้นปูนที่ยังไม่แห้ง หรือส่วนเสื้อผ้าการคำนวณทุกๆ จุดของร่างกายคนเราเพื่อรองรับทุกๆ การเคลื่อนไหว ผมว่านี่คือหลักการออกแบบที่ดี  

เครื่องประดับผมใส่แบรนด์ของนิวยอร์ก Jew Platina ผมต้องไปทำงานแต่งหน้าปีละ 2 ครั้ง แบรนด์นี้ใช้ตัวเลขเข้ามาในการออกแบบเพื่อความโชคดีด้วย สำหรับผม เลขนำโชค ก็ต้องเป็นเลข 3 สิครับ”  

ยูตะ บอกพลางหัวเราะ การแต่งตัวแนวอินดี้ เท่ และมีความละเอียดไปทุกอณู ในสไตล์ผู้ชายทำงานคลุกคลีกับแฟชั่น และชื่นชอบการออกแบบแท้จริง และสำหรับคอลเลกชั่น ล่าสุด Three Thailand Limited  2017 ยูตะ ก็ได้ร่วมใส่รายละเอียดนี้ในการรังสรรค์ความงามเพื่อผู้หญิงไทยโดยเฉพาะ

“แต่ละซีซั่น ผมจะคิดร่วมกับครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ คือ ริเอะ โอโมโตะ สีสันคือสิ่งที่เราใส่ใจที่สุด สีอายแชโดว์กว่าจะได้ผ่านการทดลองหลายร้อยครั้ง กว่าจะได้สีเฉดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากท้องฟ้ายามเย็นของพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม สีนี้ผลิตขึ้นในแบบลิมิเต็ด เอดิชั่น สำหรับผู้หญิงไทย มีขายเฉพาะในเมืองไทยเพียงที่เดียวเลยครับ

กุญแจความสำเร็จของเครื่องสำอางจากญี่ปุ่น คือ ความพิเศษที่เราคิดค้นอย่างละเอียดอ่อน สิ่งที่ผสมอยู่ในเมกอัพ คือ ออยล์เจล ทำให้ลิปสติกเกลี่ยทาที่พวงแก้มได้ด้วยครับ นอกจากความสวยแล้ว คือ การแต่งหน้าได้ง่ายขึ้น สนุกขึ้น ด้วยนวัตกรรมที่เราคิดค้นขึ้นมาใหม่ๆ อยู่เสมอเลยครับ และทำให้เครื่องสำอางชิ้นนั้นเป็นมัสต์เฮฟที่ผู้หญิงทุกคนต้องมี”

แต่งหน้าเนรมิตความงามผู้หญิงมาทั่วโลกแล้ว เมื่อถามว่าแล้วตัวเมกอัพ อาร์ติสต์เอง แต่งหน้าหรือไม่? ยูตะ ตอบคำถามนี้พร้อมเสียงหัวเราะ

“แต่งสิครับ การแต่งหน้าผู้ชาย ก็ต้องแตกต่างจากผู้หญิงแน่นอน คือ ต้องแต่งให้เหมือนเราไม่ได้แต่งอะไรเลย ผมแต่งให้ผู้หญิงโดยเน้นความเป็นธรรมชาติแล้ว แต่งหน้าตัวเองก็ต้องธรรมชาติยิ่งกว่าอีก การแต่งหน้าคือการมองรวมๆ บนใบหน้า ไม่ต้องพยายามแต่งส่วนใดส่วนหนึ่งมากจนเกินไป

ผู้ชายยุคนี้แต่งหน้าไม่แปลกหรอกนะครับ (ยิ้ม) เพราะทุกคนต้องดูดีเมื่อออกนอกบ้านเช่นเดียวกับผู้หญิง และหลักการแต่งหน้าก็ไม่ต่างกัน คือ ดึงส่วนที่ดีที่สุด ให้ออกมาดูเด่นที่สุด การแต่งหน้าคือมารยาทด้วยซ้ำ ผู้ชายแต่งหน้าต้องให้เหมาะสมกับการทำงาน หรือการเข้าสังคม แต่งแล้วคุณต้องรอดนะ (หัวเราะ) ใบหน้าคุณต้องดูสะอาด ไม่ต้องคิดมากไปกว่านั้นเลยครับ" ยูตะ ช่างแต่งหน้ามือโปรจากญี่ปุ่นบอกทิ้งท้ายด้วยมาดสุดเท่