posttoday

ณัฐนัย อนันตรัมพร จังหวะดีที่มาถูกเวลา

03 ตุลาคม 2560

ณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม บริษัทให้บริการทางด้านอินเทอร์เน็ตชายขอบกว่า 30 จังหวัด ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเพียง 1 ปี ถือเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง

 

ชายหนุ่มร่างสันทัด หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสท่าทางใจดี มีบุคลิกที่เรียกว่าเล็กพริกขี้หนู เพราะสามารถปลุกปั้นบริษัทด้านสื่อสารให้มีรายได้ทะลุหลายพันล้านบาท ณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม บริษัทให้บริการทางด้านอินเทอร์เน็ตชายขอบกว่า 30 จังหวัด ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์มาเพียง 1 ปี ถือเป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีอายุเพียง 30 ปี งานของบริษัทเขานั้นเพื่อรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลยุคปัจจุบัน ให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้นแม้ในพื้นที่ห่างไกลที่รัฐบาลเองเข้าไปไม่ถึง

เขาบอกว่า การทำธุรกิจที่ดีควรต้องให้โอกาสคนอื่นด้วย แม้จะได้กำไรน้อยแต่หากเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาประเทศก็ควรจะทำ เพราะปัจจุบันนี้เทคโนโลยีมีความสำคัญและจำเป็นในชีวิตของทุกคน ถือเป็นปัจจัยที่ 5 ก็ว่าได้ และจะเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของคนมากขึ้นทุกวัน การจะทำธุรกรรมกับหน่วยงานภาครัฐอนาคตก็จะผ่านออนไลน์กันหมดแล้ว แต่แค่เรื่องพื้นๆ อย่างโทรศัพท์พื้นฐานบางหมู่บ้านยังไม่มีโทรศัพท์บ้านใช้เลย นั่นแสดงถึงความแตกต่างไม่เท่าเทียมที่รัฐพยายามที่จะปิดช่องว่างตรงนี้ให้มีความเสมอกันในทุกที่ของประเทศไทย แม้ในถิ่นห่างไกลยังชายขอบของประเทศ

 

 

ณัฐนัย อนันตรัมพร จังหวะดีที่มาถูกเวลา

 

 

จบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนเรียนจบใหม่ๆ เขาเคยทำงานฝ่ายวิจัยและพัฒนาที่บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งอยู่เกือบปี ก่อนจะไปเรียนต่อปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา ตอนเรียนที่อเมริกาเคยทำงานที่อเมริกา แต่เป็นหน่วยงานทางด้านงานวิจัยและจับคู่ธุรกิจให้กับนักธุรกิจของแคนาดามาจับคู่กับของอเมริกาอยู่ 9 เดือน เป็นงานที่สนุก รายได้ดี และได้เปิดโลกเปิดมุมมองทางธุรกิจให้เขาอย่างมาก

“เวลาที่เราสามารถช่วยให้เขาจับคู่ธุรกิจกันได้ระหว่างชาวแคนาดากับอเมริกา เราจะได้เปอร์เซ็นต์ตามสัดส่วนของธุรกิจอีกด้วย เช่น 2 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งมูลค่าธุรกิจเยอะเราก็จะได้มาก เพียง 9 เดือนกว่าที่ทำงานที่นี่ผมสามารถได้ส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์จากการจับคู่ค้าให้เกิดขึ้นได้ คิดเป็นเงินเกือบ 30 ล้านบาท เป็นเงินติดกระเป๋ากลับมาประเทศไทย ซึ่งตอนนั้นผมอยากทำงานที่นั่นต่อ ไม่อยากกลับประเทศไทยเลย อยากจะทำงานที่นั่นหาประสบการณ์และเก็บเงินสัก 2-3 ปีก่อน แต่ทำได้แค่ 10 เดือน คุณพ่อไม่ยอม ท่านเรียกตัวกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัวทันที”

เขากลับประเทศไทยตอนปี 2554 ตอนที่ประเทศไทยเกิดน้ำท่วมใหญ่ คุณพ่อบอกให้มาช่วยทำธุรกิจ ก็มาทำงานเป็นผู้จัดการในแผนกทั่วไปเรียนรู้งานไปก่อน ตรงไหนคนขาดก็ส่งไปทำ โจทย์การทำงานของคุณพ่อกว้างมาก ทำให้เกิดแรงกดดันให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากคุณพ่อเป็นคนเก่ง เวลาไปดีลงานกับใครก็จะถูกคาดหวังว่าเขาจะต้องเก่งเหมือนคุณพ่อ แล้วคุณพ่อของเขาเคยไปออกรายการโทรทัศน์ช่องธุรกิจหนึ่งและให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการให้บริษัทเติบโตมียอดขายภายใน 10 ปี ให้ได้ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งตอนที่ท่านให้สัมภาษณ์บริษัทมีรายได้เพียง 1,200 ล้านบาท เขาฟังแล้วเครียดมาก เพราะคุณพ่อคาดหวังให้เขามาช่วยงาน 

หลังจากวันนั้นเขาก็ตั้งทีมงานทำงานทันที มีพนักงานเริ่มต้นเพียง 5 คน เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีพนักงาน 600 คน และเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เพียง 1 ปี โดยแยกแผนกของเขาออกมาเป็นบริษัท ไอเทล

“กดดันมากครับ คุณพ่อมองว่าท่านเริ่มธุรกิจเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ด้วยเงินลงทุนเพียง 2 แสนบาท ท่านไม่มีความพร้อมใดๆ มากนัก ยังสร้างตัวมาได้ถึงตรงนี้ ขณะที่ผมเริ่มต้นมีหลายอย่างรองรับ มีความพร้อมกว่ามากก็ควรจะทำให้ได้ ผมจึงต้องพยายามทำงานให้เต็มที่ คิด ลงมือทำ ลุยเองทุกอย่าง ขยายงาน ต่อยอดจากสิ่งที่คุณพ่อสร้างก็เหนื่อยมากๆ ครับ และก็ผ่านมาได้ในที่สุด แต่ก็ถือว่ายังไม่สวยงามเป็นที่พอใจแบบที่เราอยากได้จริงๆ ก็ต้องผลักดันอีกหลายอย่างให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะยอดขายที่เราตั้งเป้าเอาไว้เยอะอยู่

การทำธุรกิจของผมเริ่มจากยากๆ แล้วค่อยไปง่าย เพื่อจะได้สบายตอนหลัง คนอื่นอาจจะเริ่มง่ายๆ ก่อนแล้วค่อยไปยากขึ้น แต่ผมสวนทาง ถ้าผ่านเรื่องยากๆ ได้แล้ว เรื่องที่เหลือก็ง่ายหมดล่ะ ผมมองอย่างนั้นนะ คุณพ่อก็พยายามสอนว่าให้ทำเรื่องยากๆ ก่อน ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องง่ายไปเอง”

 

 

ณัฐนัย อนันตรัมพร จังหวะดีที่มาถูกเวลา

 

 

ณัฐนัย กล่าวต่อไปว่า ตลอดการทำงานเกือบ 7 ปีที่ผ่านมาของเขานั้น ถือว่าไม่ง่ายและไม่มีคำว่าฟลุก ต้องทุ่มเทจริงจังมาก หลายอย่างมีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้มากมาย คนคือตัวแปรที่สำคัญที่สุดและบริหารจัดการยากที่สุดในการทำงาน ส่วนหนึ่งตอนเขามาทำงานนั้นอายุไม่ถึง 24 ปี ประสบการณ์และการยอมรับอาจจะไม่มากนัก ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมากว่าเขาตั้งใจจริง แต่โชคดีก็คือเขามาถูกที่ ถูกจังหวะเวลา

ทุกวันนี้อายุเข้า 30 ปี ถือว่ามีประสบการณ์ มีชั่วโมงบินมากขึ้น แต่ก็ยังต้องทุ่มเทในการทำงานต่อไป เพื่อให้บริษัทมีเงินปันผลเป็นที่น่าพอใจแก่ผู้ถือหุ้น ในเรื่องความเครียดหรือเมื่อเจออุปสรรคปัญหา เขาพยายามใช้ธรรมะ ใช้สติเข้ามาช่วยแก้ไขให้ใจเย็นลง ทบทวนตัวเองมากขึ้น พยายามใจเย็น มองโลกในแง่บวก

หลักการทำงานก็คือพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ดูแลกันเหมือนคนในครอบครัวที่เขาต้องเติบโตไปพร้อมกัน เปิดใจรับฟังให้มากขึ้น มีความเด็ดขาดในการทำงาน กล้าตัดสินใจ ตั้งเป้าในอนาคตอันใกล้นี้ว่าพยายามสร้างมืออาชีพเข้ามาทำงานด้วยกันมากขึ้น ให้โอกาสทีมงานมากขึ้น ตอนที่เขาเริ่มต้นธุรกิจตอนนั้นพลาดไม่ได้จึงไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นร่วมตัดสินใจมากนัก แต่ตอนนี้บริษัทเข้าที่เข้าทางมีระบบมากขึ้น สามารถเปิดโอกาสให้ทีมงานช่วยในการตัดสินใจมากขึ้น

แม้งานหลักจะหนักหนาเพียงใด แต่เขาก็พยายามหางานอดิเรกที่ชอบทำเป็นงานอดิเรก สืบเนื่องจากเขาชอบรับประทานของหวาน ตอนอยู่ที่อเมริกามีร้านโยเกิร์ตร้านหนึ่งอร่อยมาก จนเขาซื้อแทบทุกวัน พอกลับมาประเทศไทยก็ยังนึกถึงเสมอ อยากขอแฟรนไชส์มาเปิดที่ประเทศไทยแต่ราคาแพงมากสู้ไม่ไหว จนไปเจอรุ่นพี่นักธุรกิจท่านหนึ่งอยากเปิดร้านโยเกิร์ตเช่นกัน เลยหุ้นกันเปิด คิดสูตรกันเองชิมจนเป็นที่พอใจ

เขาเลยเปิดร้านโยเกิร์ตของตัวเองชื่อ เฮลโหล โยเกิร์ต เมื่อปีที่ผ่านมา เป็นแนวสุขภาพ ตอนนี้มี 8 สาขาในห้างรอบนอก เช่น แฟชั่นไอส์แลนด์ บิ๊กซีรัชดา เซ็นทรัลปิ่นเกล้า เทสโก้ โลตัส กำลังจะหาสาขาในเมืองอย่างพารากอนสักปลายปีนี้ ตั้งเป้าจะเปิดให้ได้ 10 สาขาภายในสิ้นปีนี้ เป็นงานอดิเรกที่สร้างรายได้พอประมาณสำหรับเขา “คืองานหลักมันเครียด เลยอยากทำร้านของหวานเพราะเราชอบกิน (หัวเราะ) ไม่ได้ซีเรียสมากนัก พอเลี้ยงตัวเองได้ก็พอใจแล้ว”

นอกจากนั้น เขาอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้ากีฬา เนื่องจากชอบออกกำลังกาย จึงเลือกทำธุรกิจเสริมในสิ่งที่เราชอบจริงๆ ชอบอะไรกินใช้อะไร ก็ทำในสิ่งที่คุ้นเคยและชอบจะได้มีความสุข ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป เพราะงานประจำก็เครียดมากพอแล้ว เขากล่าวทิ้งท้ายอย่างมีความสุข

ข่าวล่าสุด

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ชู “นิติรัฐ–กระจายอำนาจ” เวทีเนชั่นดีเบต