posttoday

นิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี เรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด

02 ตุลาคม 2560

นิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี แถวหน้าผูัดูแลทิศทางความเป็นไปในบริษัทระดับโลก

 

มีคนทำงานไม่กี่คนที่เติบโตก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับองค์กรที่เห็นคุณค่าของพนักงาน ซึ่งหนึ่งในคนที่สามารถก้าวจากตำแหน่งพนักงานเล็กๆ ขององค์กรเมื่อ 16 ปีที่แล้วจนได้มายืนอยู่แถวหน้าที่ดูแลทิศทางความเป็นไปในบริษัทระดับโลกอย่าง นิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย)

นิพนธ์ เล่าเส้นทางชีวิตของเขาว่า หลังจากจบการศึกษาปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาก็เริ่มเข้าทำงานที่บริษัท แอลจีฯ เป็นบริษัทแรก (และเป็นบริษัทเดียวจนถึงปัจจุบัน) เขาให้เหตุผลที่เริ่มสนใจทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้าว่า ย้อนกลับไปในปี 2540 เทคโนโลยีที่กำลังมาแรงที่สุดในเวลานั้นคือโทรศัพท์มือถือที่เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในการติดต่อสื่อสารในสังคมไทย

ประกอบกับเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น ซึ่งเขามองว่าอนาคตข้างหน้าแรงงานด้านวิศวกรไฟฟ้าน่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด ประกอบกับตัวของเขาเองก็สนใจที่จะศึกษาทางด้านไฟฟ้าอยู่แล้วจึงไม่ยากที่เข้ามาเรียนและเริ่มทำงานในสายนี้

“หลังจากผมเรียนจบก็มีรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัท แอลจีฯ อยู่ก่อนหน้านี้แล้วชักชวนเข้ามาทำงานด้วยกัน เพราะมีตำแหน่งงานว่างอยู่ก็ได้เริ่มเข้ามาทำงานในตำแหน่งวิศวกรเครื่องซักผ้า ดูระบบไฟฟ้าของเครื่องซักผ้าจากนั้นย้ายมาอยู่ที่แผนกวิจัยและพัฒนาอีก 8 ปี แล้วก็ย้ายมาดูฝ่ายขายและการตลาดในปี 2552 จนถึงปัจจุบัน เป็นหนึ่งในพนักงานเก่าแก่ของแอลจีก็ว่าได้ครับ (หัวเราะ)

 

นิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี เรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด

 

โชคดีของผมอย่างหนึ่งก็คือ บริษัท แอลจีฯ เป็นบริษัทเกาหลีที่มีวัฒนธรรมการทำงานอย่างหนึ่งก็คือ เริ่มทำงานที่ไหนแล้วก็จะทำงานอยู่ที่นั่นยาวไม่ค่อยมีการลาออกไปทำงานที่อื่น อีกทั้งระบบการพัฒนาบุคลากรขององค์กรมีการเทรนนิ่งพนักงาน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทำงานภายในองค์กรของแต่ละแผนก เพื่อให้พนักงานมีทักษะความสามารถที่จำเป็นต่อการทำงาน ความก้าวหน้าและความสามารถที่ดีขึ้น และทุกครั้งที่มีการอบรมพัฒนาพนักงานก็ต้องมีการมอบหมายงานที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อในการอบรมนั้นให้กับพนักงานนั้นได้ดูแลรับผิดชอบด้วย

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมอยู่แผนกวิจัยและพัฒนา ก็ได้รับมอบหมายให้ผมเข้าไปดูแลในส่วนของการพัฒนาสินค้าเครื่องซักผ้าในต่างประเทศ ซึ่งช่วงนั้นผมก็จะทำงานกับแผนกวิจัยและพัฒนาในแต่ละประเทศ ไปศึกษาว่าตลาดเครื่องซักผ้าต่างประเทศนั้นมีความต้องการที่แตกต่างจากเราตรงไหนบ้าง ทำให้เราพบว่าการใช้งานในแต่ละประเทศมีฟังก์ชั่นในการทำงานไม่เหมือนกันเลย

บางประเทศอาจจะต้องการฟังก์ชั่นแช่ผ้า แต่ในบางประเทศก็ไม่ต้องการฟังก์ชั่นนี้เราก็ต้องปรับเปลี่ยนรู้แบบการทำงานให้เหมาะสมกับการทำงานในแต่ละประเทศเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดตรงนั้น ทำให้เรารู้สึกสนุกที่จะเรียนรู้ในเรื่องของการทำการตลาด” นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้นิพนธ์ก้าวเข้าสู่เส้นทางบริหารการตลาดอย่างเต็มตัว

ผมจำได้ว่าในช่วงแรกที่ย้ายจากการทำงานในฝั่งของโรงงาน มาทำงานอยู่ในส่วนของการตลาดรูปแบบการทำงานค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอย่างชัดเจนตอนที่ทำงานโรงงานทุกอย่างจะต้องทำไปตามระบบตามขั้นตอนที่วางให้สำเร็จ แต่พอผมมาทำงานในส่วนของฝ่ายการตลาดก็ปรากฏว่า ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงต้องใช้ทักษะทางด้านความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น ไม่ได้มีขั้นตอนการทำงานที่ถูกกำหนดมา มีแต่เรื่องเวลาที่กำหนดให้งานต้องเสร็จเหมือนกัน ก็เป็นความท้าทายที่ทำให้เราต้องเรียนรู้พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด

ผมมีหลักในการทำงานของผมอย่างแรกก็คือ เรื่องของการวางกลยุทธ์ แอลจีเป็นบริษัทระดับโลก การวางกลยุทธ์ทุกส่วนในองค์กรหรือว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องเดินหน้าพร้อมกันและสอดคล้องกัน หากนโยบายใหญ่ชี้ว่าจะต้องขับเคลื่อนไปในทิศทางไหน เราก็ต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการทำงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่งเสริมกันก็จะช่วยทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ

ต่อมาก็คือเรื่องของเป้าหมาย เราต้องมีเป้าหมายในการทำงานที่ชัดเจนมีความท้าทาย ในขณะเดียวกันก็ต้องมีเป้าหมายนั้นก็ต้องตั้งอยู่บนความเป็นไปได้ เพียงแต่ว่าเราจะเพิ่มความพยายาม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในจุดไหน ถึงจะบรรลุเป้าหมายนั้น ไม่ใช่การตั้งเป้าหมายที่พูดออกไปแล้วทุกคนมองหน้ากันแล้วก็เกิดความสงสัยว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า แต่เป้าหมายนั้นจะต้องเป็นเป้าหมายที่มีความท้าทายใหม่ และมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จด้วย นั่นเรียกว่าเป็นการตั้งเป้าหมาย แบบสมาร์ททาร์เก็ต

 

นิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี เรียนรู้ไม่มีคำว่าสิ้นสุด

 

ต่อมาคือเรื่อง เน็ตเวิร์กกิ้ง เราอยู่ในยุคของเทคโนโลยี ข้อมูลของทางด้านการตลาด มีการเปลี่ยนแปลงที่จะค่อนข้างเร็วต้องมีการสื่อสารตั้งแต่หน้างานขายจนถึงภายในบริษัทว่าในช่วงเวลานั้น มีประเด็นอะไรสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบถึงยอดขายของเราบ้าง ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเวลานั้นทิศทางกำลังเข้าสู่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต มีสมาร์ททีวีที่เชื่อมต่อการชมคลิปวิดีโอออนไลน์ รูปแบบการชมรายการโทรทัศน์ของคนไทยเปลี่ยนไปมาก ตอนนี้คนเริ่มดูเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) มากขึ้นเราก็ต้องทำปุ่มสำหรับการเข้าชมเน็ตฟลิกซ์ ที่รีโมททีวีให้โดยเฉพาะ

เครื่องซักผ้าก็เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้สามารถตั้งโปรแกรมการซักผ้าและแจ้งเตือนเราได้ว่าซักผ้าเสร็จแล้วบางคนตั้งซักทิ้งไว้แล้วลืมพอเปิดมาก็มีกลิ่นเหม็นอับเทคโนโลยีตรงนี้ก็ต้องพัฒนาตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้า หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอัจฉริยะจากที่เคยดูดฝุ่นตามพื้นในบ้าน เราก็ติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านเข้าไป ติดกล้องเข้าไปที่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นให้เจ้าของบ้านได้เปิดดูผ่านอินเทอร์เน็ต สิ่งเหล่านี้เราต้องพัฒนาอยู่ตลอด

ต่อมาก็คือเรื่องของการการพัฒนาบุคลากรภายในองค์กร ดูว่าบุคลากรของเราแต่ละคนนั้นมีศักยภาพในการพัฒนาสามารถทางด้านไหนบ้าง มีการอบรมพัฒนาทักษะทางด้านต่างๆ ที่มีความจำเป็นในสายงานของตัวเอง ส่วนตัวผมเองก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ในแต่ละปีผมจะตั้งเป้าว่าในแต่ละปีเราควรจะเรียนรู้อะไรบ้าง ตั้งเป็นหัวข้อในสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ แนวทางในการพัฒนาตัวเองของผมนั้นจะดูว่าปีนี้บริษัทกำลังจะไปในทิศทางไหน ก็จะต้องเรียนรู้ในสิ่งนั้น เพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาของบริษัท

สุดท้ายแนวทางในการทำงานของผมก็คือ พยายามคิดบวกให้ได้อยู่ตลอด ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาอะไรก็ตาม ผมจะพยายามมองโลกในแง่ดีว่าทุกปัญหามีทางออก เพียงแค่เราต้องนำข้อมูลของของปัญหานั้นมาตีแผ่ข้อมูลปัญหาให้ชัดเจนว่าปัญหาเกิดจากอะไร แล้วเราจะมีแนวทางในการเข้าไปแก้ไขปัญหาตรงนั้น เพื่อให้การเดินหน้าต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร”

แต่ว่าเราจะทำงานหนักแค่ไหนก็ตามสิ่งหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญก็คือเรื่องใช้ชีวิตอย่างสมดุล เวลางานก็ทุ่มเทให้กับงานเต็มที่ แต่ก็ต้องไม่ลืมแบ่งเวลาให้ตัวเองสำหรับการออกกำลังกายดูแลสุขภาพ และเวลาอีกส่วนหนึ่งใช้ชีวิตพักผ่อนกับครอบครัวชีวิตถึงจะมีความสุขทั้งหน้าที่การงานและครอบครัวไปพร้อมๆ กัน”