posttoday

เทวินทร์ เรศานนท์ บาชโทลด์ กับเส้นทางที่เลือกแล้ว

05 มกราคม 2559

หนุ่มโสดของเราวันนี้ ถ้าไม่สืบสาวจนรู้มาก่อนว่าอายุอานามของเทวินทร์ เรศานนท์ บาชโทลด์ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนนี้ว่าอยู่ที่ 23 ปีเท่านั้น

โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา ภาพ : วิศิษฎ์ แถมเงิน

หนุ่มโสดของเราวันนี้ ถ้าไม่สืบสาวจนรู้มาก่อนว่าอายุอานามของเทวินทร์ เรศานนท์ บาชโทลด์ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงคนนี้ว่าอยู่ที่ 23 ปีเท่านั้น คงถูกลวงตาด้วยลุคบิซิแมนที่เคร่งขรึม จนไม่เหลือเค้าความขี้เล่นไว้แม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม แม้อายุจะน้อยแต่เชื่อเถอะว่าความน่าสนใจในตัวหนุ่มโสดคนนี้ไม่ได้น้อยตามอายุ เริ่มตั้งแต่ใบหน้าที่ดูหล่อเหลาตามสไตล์หนุ่มลูกครึ่ง บวกกับหน้าที่การงานของเขาตอนนี้ ซึ่งแม้จะเพิ่งเข้ามาเรียนรู้งานเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่หน้าที่ของเขาถือได้ว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญในธุรกิจนำเข้าจิวเวลรี่ และนาฬิกาแบรนด์หรูเลยทีเดียว

เทวินทร์ เริ่มแนะนำตัวให้เรารู้จักเขามากขึ้น ด้วยการเล่าถึงหน้าที่ความรับผิดชอบในปัจจุบัน เทวินทร์บอกว่า เพิ่งเข้ามาช่วยงานที่บริษัท บาชโทลด์ ผู้นำเข้ากาโดซ์ จิวเวลรี่ และสุดยอดนาฬิกาอย่างแบรนด์
โฆรุ่ม เซ็นจูรี่ เลห์มานน์ ฟาแบร์เฌ ของที่บ้านเมื่อเดือนต้นปีที่แล้ว

เทวินทร์ เรศานนท์ บาชโทลด์ กับเส้นทางที่เลือกแล้ว

หน้าที่หลักของเขาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของแบรนด์กาโดช์ จิวเวลรี่ เขามีหน้าที่ดูแลในส่วนกระบวนการผลิตทั้งหมด ตั้งแต่การประสานงานกับโรงงาน เพื่อคุมคุณภาพสินค้า รวมทั้งร่วมออกแบบ ประสานงานกับช่างถึงความเป็นไปได้ในการผลิตกาโดซ์มาสเตอร์พีซชิ้นใหม่ๆ ออกมา

ในส่วนของแบรนด์จิวเวลรี่ เขามีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของนาฬิกาที่นำเข้ามา เรียกว่าของทุกชิ้นต้องผ่านมือเทวินทร์ทั้งสิ้น เพื่อตรวจดูตำหนิของนาฬิกาที่ส่งมาอย่างละเอียดว่าเพชรน้ำงาม ไม่มีรอยร้าว เข็มขัดของสายนาฬิกาอยู่ในสภาพสมบูรณ์หรือไม่ โดยเทวินทร์จะเน้นตรวจสอบเรื่องรายละเอียดภายนอก ส่วนกลไกการทำงานของนาฬิกาจะมีช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเป็นผู้ตรวจสอบ

“ผมว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราปล่อยให้ลูกค้าเป็นคนเห็นจุดบกพร่องเหล่านี้เอง เราจะเสียหน้ากับลูกค้ามาก ซึ่งผมมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้น” เทวินทร์บอกเล่าถึงงานในส่วนความรับผิดชอบของเขาด้วยแววตามุ่งมั่นจนเราอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรคือแรงขับเคลื่อนภายในที่ทำให้วัยรุ่นคนนึง ถึงจริงจังกับสิ่งที่ทำได้เพียงนี้

เทวินทร์ เรศานนท์ บาชโทลด์ กับเส้นทางที่เลือกแล้ว

เทวินทร์ เฉลยถึงเหตุผลที่ทำให้อดีตเด็กที่ไม่เคยวาดฝันว่าอนาคตของตัวเองจะอยู่กับธุรกิจของครอบครัว แถมยังมุ่งมั่นอยากจะโลดแล่นในวงการบันเทิงว่า ต้องขอบคุณที่โชคชะตาทำให้เขาได้รับโอกาสที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในชีวิต นั่นคือการไปฝึกงานที่โรงงานของกาโดซ์ ประเทศไทย ทำให้เขาได้สัมผัสกับกระบวนการผลิตเครื่องประดับแบบเจาะลึก จนอดตกหลุมรักอาชีพนี้ไม่ได้

“ก่อนจะไปฝึกงาน ผมก็มีพื้นฐานการทำจิวเวลรี่มาบ้าง ตอนอยู่ ม.5 ที่โรงเรียนผมเปิดสอนทำจิวเวลรี่ ตอนแรกผมไม่สนใจเลย เพราะเข้าใจว่างานทำเครื่องประดับ เป็นงานของผู้หญิง แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเห็นในคลาสเขาเอาไฟลนไปที่เหล็กเพื่อทำลวดลายบนจิวเวลรี่ จุดนั้นทำให้ผมสนใจมาก และคิดว่านี่ไม่ใช่งานสำหรับผู้หญิงแล้ว ผมเลยเข้าไปลองเรียน พอเรียนไปก็ชอบนะครับ พอจบคลาสนั้นผมก็มีโอกาสไปฝึกงานที่โรงงานผลิตของกาโดซ์ ประเทศไทย ตอนแรกก็ลังเลไม่อยากไปฝึกงาน เพราะซัมเมอร์ก็อยากเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่น แต่พอดีเพื่อนๆ ที่โรงเรียนส่วนใหญ่ก็ไปต่างประเทศ ผมเองว่างๆ ก็เลยไปฝึกงาน”

การไปฝึกงานครั้งนี้เปิดโลกของการทำเครื่องประดับให้เทวินทร์อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเขาได้เปิดโลกทัศน์ ได้เจอในสิ่งที่ไม่รู้มาก่อนจึงเกิดเป็นความสนุก ด้วยฝีมือที่เข้าตาบวกกับความหลงใหลในอาชีพนี้ ทำให้เมื่อเจ้าของแบรนด์กาโดซ์เอ่ยปากชวนให้ไปเรียนเป็นช่างทองที่เยอรมนีหลังจากจบมัธยมปลายเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย

เทวินทร์ เรศานนท์ บาชโทลด์ กับเส้นทางที่เลือกแล้ว

“ตอนนั้นผมจินตนาการภาพตัวเองตอนเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรทำให้ผมเรียนแล้วสนุกพอ จากเดิมที่ผมมุ่งมั่นจะเป็นนักกีฬา แต่ก็รู้ว่าปลายทางที่ฝันคงไม่ใช่นักกีฬาทีมชาติ เคยอยากเป็นนักแสดง เพราะผมอยากลองสวมบทบาทเป็นคนอื่นดูสักพัก แล้วค่อยกลับมาเป็นตัวเอง แต่พอโตขึ้น ผมก็รู้แล้วว่า สิ่งที่ฝันอาจจะไม่ใช่สำหรับผม ผมจึงตัดสินใจไปเรียนเป็นช่างทองที่เยอรมนี ซึ่งเป็นงานที่เราได้ลองทำแล้วชอบ”

เทวินทร์ บอกว่า ช่วงที่ตัดสินใจไปเรียนเป็นช่างทอง เป้าหมายของเขาก็ยังไม่ใช่การกลับมาสานต่อธุรกิจที่บ้าน เพราะตั้งใจว่าถ้าเรียนจบแล้วจะหางานทำที่เยอรมนีก่อน แต่ปรากฏว่า ช่วงที่เรียนจบคุณพ่อประสบอุบัติเหตุ ทางบ้านก็ต้องการให้กลับมาช่วย เขาเลยตัดสินใจกลับมาเริ่มต้นสานต่อธุรกิจครอบครัว ซึ่งประสบการณ์ที่เขามี ช่วยเติมเต็มธุรกิจของครอบครัวได้อย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมโตมากับธุรกิจนี้ เรียกได้ว่าซึมซับเข้าสายเลือดก็ว่าได้ ถึงจะไม่ได้เรียนด้านบริหารมาโดยตรง แต่ผมก็สามารถศึกษาจากคุณพ่อคุณแม่ได้ ส่วนเรื่องอายุของผม ผมโชคดีที่เติบโตในเมืองไทย ทำให้ไม่มีปัญหาในการเข้าหาหรือพูดคุยกับผู้ใหญ่ ผมมีเพื่อนสนิทเป็นคนที่อายุมากกว่าผมหลายคน ผมสามารถดึงเอาประสบการณ์จากการใช้ชีวิตประจำวันมาใช้กับการทำงานได้ และที่แน่ๆ ผมพยายามวางตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นด้วย”

สำหรับอนาคต เทวินทร์ ย้ำหนักแน่นว่าจะสานต่อธุรกิจของครอบครัว ซึ่งในรุ่นคุณพ่อคุณแม่ของเขาเคยทำประสบความสำเร็จไว้อย่างสุดความสามารถ