posttoday

เปิด 3 แผนจัดการก๊าซฯป้อนไทย เอกชน 4 ราย จ่อแข่งประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบใหม่

02 มิถุนายน 2565

กรมเชื้อเพลิงฯเดินหน้าจัดหาก๊าซธรรมชาติเสริมความมั่นคงรับราคาพลังงานผันผวน ชี้เอกชน 4 ราย สนร่วมประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบ24

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่าหลังการเปลี่ยนผ่านการดำเนินงานของแปลง G1/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติเอราวัณ) และแปลง G2/61 (แหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช) จากระบบสัมปทานเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2565 ที่ผ่านมา  ขณะนี้อัตราการผลิตปิโตรเลียมเฉลี่ยเดือนพ.ค.ของแปลง G1/61 อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านลูกบาศก์ฟุต(ลบ.ฟุต)ต่อวัน และแปลง G2/61 อยู่ที่ประมาณ 870 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน

ทั้งนี้ได้กำกับดูแลและผลักดันให้บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (ปตท.สผ. อีดี) ในฐานะผู้รับสัญญาแบ่งปันผลผลิตเร่งการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตปิโตรเลียม (Ramp up) ของแปลง G1/61 ให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเร็ว เพื่อรักษาความมั่นคงด้านการจัดหาพลังงานของประเทศ

นอกจากนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ดังนี้ 1. ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในการจัดหาก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่ม โดยการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีศักยภาพ ได้แก่ แหล่งอาทิตย์ แปลง B8/32 รวมถึงแปลง B-17ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย ซึ่งจะได้ปริมาณก๊าซฯเพิ่มประมาณ 100 ล้านลบ.ฟุตต่อวัน

2.กำกับดูแลให้ผู้รับสัมปทานทุกรายเตรียมความพร้อมในการผลิตก๊าซธรรมชาติได้เต็มความสามารถตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ และประสานให้เลื่อนแผนการหยุดซ่อมบำรุงที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น และ 3.ในส่วนของการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้ดำเนินการเกี่ยวกับการให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต บริเวณทะเลอ่าวไทยจำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G1/65 พื้นที่ 8,487.20 ตารางกิโลเมตร(ตร.กม.) 2. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G2/65 มีพื้นที่ 15,030.14 ตร.กม. 3. แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข G3/65 มีพื้นที่ 11,646.67 ตร.กม. 

นายสราวุธ กล่าวว่าขณะนี้มีเอกชน 4 ราย เป็นบริษัทไทย2 รายและต่างชาติ 2 ราย  ที่สนใจเข้ามาดูข้อมูลใน Data Room  แล้ว โดยจะเปิดให้ยื่นคำขอสิทธิสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในวันที่ 5-16 ก.ย. นี้  ซึ่งเชื่อมั่นว่ากลไกต่างๆในการบริหารสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอนาคตโดยรัฐ จะสามารถทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมในการประมูลยื่นขอสิทธิฯ ครั้งนี้ได้ โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 1,500 ล้านบาท จากกิจกรรมการสำรวจปิโตรเลียม และหากมีการค้นพบปิโตรเลียมที่มีสมรรถนะเชิงพาณิชย์ ก็จะเกิดเม็ดเงินลงทุนในการพัฒนา     แหล่งปิโตรเลียมในระดับหมื่นล้านบาท

สำหรับปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.2564 – มี.ค. 2565) กรมเชื้อเพลิงฯจัดเก็บรายได้จากการประกอบกิจการปิโตรเลียม ประกอบด้วย ค่าภาคหลวงปิโตรเลียม SRB และรายได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย และค่าตอบแทนในการต่อระยะเวลาการผลิต รวมทั้งสิ้น 27,635.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วจำนวน 3,161.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.92

ส่วนการจัดเก็บรายได้ระหว่างเดือนเม.ย.-ก.ย. 2565 ซึ่งจะรวมรายได้จากแปลงที่ดำเนินการในระบบสัมปทาน และแปลงที่ดำเนินการในระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (รายได้ประกอบด้วยค่าภาคหลวง  ส่วนแบ่งกำไร และค่าตอบแทนการใช้สิ่งติดตั้งของรัฐ) โดยคาดว่าจะมีรายได้จากทั้ง 2 ระบบ รวมทั้งสิ้น 25,653 ล้านบาท