posttoday

GULF ทำ New High กวาดกำไรไตรมาสแรกพุ่ง 36%

12 พฤษภาคม 2565

GULF โชว์กำไร 3,257 ล้านบาท โต 36% ผลจากรายได้โรงไฟฟ้าไอพีพีดีขึ้น รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ขณะที่ปี’65 รุกลงทุนโครงพลังงานหมุนเวียน

น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวม (Total Revenue) เท่ากับ 22,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 125% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปัจจัยหลักมาจากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และ หน่วยที่ 2 (รวม 1,325 เมกะวัตต์) ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2564

ขณะที่การรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ SPP 12 โรง ภายใต้กลุ่ม GMP ทั้งจากราคาขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นตามราคาก๊าซธรรมชาติ และจากปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้แก่ กฟผ. และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการที่โครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP มีจำนวนลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น 34.7 เมกะวัตต์ จากอุตสาหกรรมยานยนต์ เคมี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และบรรจุภัณฑ์

ขณะเดียวกัน GULF ยังรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 465 เมกะวัตต์ ที่ประเทศเยอรมนี จากความเร็วลมเฉลี่ยที่ดีขึ้น จาก 9.8 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1/2564 เป็น 11.0 เมตร/วินาที ในไตรมาส 1/2565 แม้ว่า Capacity Factor เฉลี่ยในไตรมาสนี้ จะลดลงเหลือ 39% เมื่อเทียบกับ 41% ในไตรมาส 1/2564 อันเนื่องมาจากมีการจำกัดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้า (curtailment) โดยรัฐบาลประเทศเยอรมนี

อย่างไรก็ตาม โครงการ BKR2 ได้รับรายได้ชดเชยสำหรับปริมาณการจำหน่ายไฟฟ้าทั้งหมดที่ถูกจำกัด เสมือนว่าไม่ได้มีการ curtailment เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของ GULF นอกจากนี้ GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จำนวน 1,100 ล้านบาทในไตรมาส 1/2565 อีกด้วย

GULF ทำ New High กวาดกำไรไตรมาสแรกพุ่ง 36%

ทั้งนี้ กำไรขั้นต้นจากการขายในไตรมาส 1/2565 เท่ากับ 4,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เมื่อเทียบกับ 2,941 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2564 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย (Gross Profit Margin) ในไตรมาสนี้ เท่ากับ 22.1% ลดลงจาก 33.1% ในไตรมาส 1/2564 เนื่องจากมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นของโครงการโรงไฟฟ้า IPP เพิ่มขึ้น ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้า IPP จะต่ำกว่าอัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ทำให้เฉลี่ยแล้ว อัตรากำไรขั้นต้นของ GULF ลดลงตามสัดส่วนของกำไรขั้นต้นของโครงการโรงไฟฟ้า IPP ที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ในไตรมาส 1/2565 มีต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นจาก 220.17 บาท/ล้านบีทียูในไตรมาส 1/2564 เป็น 441.56 บาท/ล้านบีทียูในไตรมาสนี้ หรือเพิ่มขึ้น 101% ในขณะที่ค่า Ft เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 0.1671 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง (จาก -0.1532 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็น 0.0139 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง)

อย่างไรก็ดี เนื่องจาก GULF มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ถึง 87% ซึ่งต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติจะถูกส่งผ่าน (pass through) ในรูปของรายได้ค่าไฟฟ้าไปยัง กฟผ. ในขณะที่มีสัดส่วนการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพียงแค่ 13% จึงได้รับผลกระทบอย่างจำกัดจากราคาค่าก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น

ด้านกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ในไตรมาส 1/2565 เท่ากับ 3,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 867 ล้านบาท หรือ 36% จากไตรมาส 1/2564 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลกำไรจากโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ระหว่างปี 2564 ได้แก่ โรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ที่เปิดดำเนินการไปในเดือนมีนาคม และตุลาคม 2564 นอกจากนี้ Core Profit ยังเพิ่มขึ้นจากการรับรู้ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล BKR2 และจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จำนวน 1,100 ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิ (Net Profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 1/2565 (ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน) เท่ากับ 3,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 108% จาก 1,632 ล้านบาทในไตรมาส 1/2564

สำหรับแผนธุรกิจของ GULF ในปี 2565 จะเน้นเรื่อง Decarbonization และ Digitalization โดยในส่วนของ Decarbonization จะเน้นการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำ โดยโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Pak Lay และโครงการ Pak Beng ได้เข้าไปเซ็น Tariff MOU กับ กฟผ. ช่วงมกราคมและเมษายนที่ผ่านมา และมีแผนเข้าลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ กฟผ. ในไตรมาส 2 ปีนี้ ในส่วนของ Digitalization นั้น ปัจจุบัน GULF ได้ขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) และ Blockchain Technology โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา GULF AIS และ Singtel ได้เข้าลงนามสัญญาร่วมพัฒนาธุรกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนาธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาที่ตั้ง Data Center และคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปีนี้

นอกจากนี้ ในช่วงเมษายนที่ผ่านมา Gulf Innova ยังได้เข้าลงนามสัญญาผู้ถือหุ้นกับ Binance เพื่อร่วมกันลงทุนในธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยด้วย ปัจจุบัน กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาตต่าง ๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ GULF ยังเข้าลงทุนในธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศอเมริกา (Binance US) และสกุลเงินดิจิทัล BNB ซึ่งถือเป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมใน Ecosystem ของ Binance ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Blockchain Infrastructure ระดับโลก ทั้งนี้ GULF มองว่า cryptocurrency และ tokens เป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมทุนในอนาคต และเป็นตลาดที่มีโอกาสเติบโตไปได้อีกมากในประเทศไทย