posttoday

เปิดมุมมองเอกชนมองซาอุดิอาระเบีย : โอกาสทางเศรษฐกิจของไทย

27 มกราคม 2565

ไทย-ซาอุฯฟื้นสัมพันธ์ 30 ปี เอกชนขานรับ ปลดล็อคการค้าการลงทุน เตรียมพร้อมเจาะตลาดส่งออก ยานยนต์ อาหาร เกษตร พลังงานสะอาด จับมือเอกชนขยายลงทุนในไทย

การเดินทางเยือนซาอุดิอาระเบียของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ภาคเอกชนจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเป็นการสร้างจุดเปลี่ยนของประเทศไทยในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ และช่วยทำให้การค้าของประเทศกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง

ขณะเดียวกันเมื่อต้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมาได้เข้าพบกับ นายอิซอม ซอเละห์ เอช. อัลจีเตลี อุปทูตราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ เศรษฐกิจ การค้า และหารือโอกาสความร่วมมือระหว่างกัน

หนุนส่งออกไทย-ซาอุฯ 1.5 แสนล้าน

นายสนั่น  อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ด้านการส่งออก หากดูสัดส่วนการค้า ในปี 2564 ไทยมีการทำการส่งออกไปประเทศซาอุฯ ประมาณ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 45,000 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.6% ของการส่งออกทั้งหมดจากประเทศไทย (การค้ากับตะวันออกกลาง ประมาณ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี) ถ้าประเทศไทยสามารถเปิดประตูการค้ากับซาอุฯ ได้มากขึ้น จะทำให้สัดส่วนทางการค้า การส่งออกไปประเทศซาอุฯ กลับไปที่ประมาณ 2.2% ของการส่งออกทั้งหมด เหมือนกับปี 2532 โดยจะทำให้ปริมาณการค้าเพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 150,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ไทยจะสามารถเจาะตลาด ได้ทั้งสินค้ารถยนต์และส่วนประกอบ สินค้าอาหารและอาหารแปรรูป อาหารฮาลาล สินค้าเกษตร เครื่องจักรกล จิวเวอร์รี่ อุปกรณ์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด Medical Hub และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพ

นอกจากนี้ซาอุฯ ถือเป็นศูนย์กลางในตะวันออกกลาง และมีแผนที่จะขยายและพัฒนาประเทศโดยไม่พึ่งพาน้ำมันเพียงอย่างเดียว ส่วนนี้จะเป็นโอกาสให้กับประเทศไทยในการส่งสินค้าไป ซึ่งสินค้าที่มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติม คือสินค้าในกลุ่มเครื่องจักรอุตสาหกรรม รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 27.5 ของการนำเข้าทั้งหมด เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสินค้านำเข้า 10 อันดับแรกของซาอุฯ ทั้งสิ้น ซึ่งสอดคล้องกับสินค้าส่งออก 10 อันดับแรกของไทยด้วยเช่นกัน

เปิดมุมมองเอกชนมองซาอุดิอาระเบีย : โอกาสทางเศรษฐกิจของไทย

ดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทยสร้างรายได้เข้าประเทศ

ขณะที่ด้านการท่องเที่ยว เมื่อปี 2562 ประเทศไทย มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยประมาณ 40 ล้านคน โดยมาจากตะวันออกกลางประมาณ 7 แสนคน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงและอยู่ในไทยนานมากกว่าค่าเฉลี่ยทั้งนั้น แต่เป็นนักท่องเที่ยวจากซาอุฯ เพียง 36,000 คน ดังนั้น หากมีการเปิดประเทศ มีการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจากการยกเลิกการทำวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวซาอุฯ คาดจะมีการเดินทางมาไทยประมาณ 150,000 คน ต่อปี ก่อให้เกิดรายได้ประมาณ 13,500 ล้านบาท

ป้อนแรงงานไทยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับตลาดแรงงานไทย นั้นซาอุดีอาระเบียเคยเป็นตลาดแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในช่วงปี 1970-1980 ในช่วงนั้นมีแรงงานไทยเดินทางเข้าไปทำงานในซาอุฯ มากถึง 200,000 คน และส่งเงินกลับประเทศไทยเฉลี่ยประมาณ 9,000 ล้านบาทต่อปี  การกลับมาฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุฯ ในครั้งนี้ จะทำให้แรงงานไทยมีโอกาสกลับไปทำงานในซาอุฯ อีกครั้ง เนื่องจากซาอุฯ เอง ก็ยังมีความต้องการว่าจ้างแรงงานต่างชาติให้เข้าไปทำงานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างและปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค/สาธารณูปการ รวมถึงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงาน เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ

ดังนั้น เมื่อซาอุดีอาระเบียเปิดโอกาสให้แรงงานไทยขอใบอนุญาตทำงาน (วีซ่า) อีกครั้ง คาดว่าจะทำให้จำนวนแรงงานไทยในซาอุฯ เพิ่มขึ้น จากจาก 10,000 คนในปัจจุบัน เป็น 100,000 คนในระยะ 3 ปี และเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คน ในระยะ 5 ปี เท่ากับปี 2532 ซึ่งจะทำให้มีรายได้ส่งกลับจากแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 4,500-9,000 ล้านบาทต่อปี

อย่างไรก็ตามด้านการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) แม้ว่าโอกาสที่ซาอุดีอาระเบียจะขยายการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) มายังไทยในระยะสั้นอาจจะมีไม่มากนัก แต่เมื่อความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศถูกฟื้นฟูก็จะมีผลทำให้นักธุรกิจมีการติดต่อเจรจาธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยดึงดูดให้นักธุรกิจซาอุดีอาระเบียนำเงินมาลงทุนยังประเทศไทยทั้งในระยะกลาง และระยะยาว

ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียได้มุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามแผนการปฏิรูป Vision 2030 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ภาคเอกชนมีส่วนในการเพิ่มสัดส่วนจีดีพีจากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 65 นอกจากนั้นแผนการปฏิรูปดังกล่าว ยังต้องการเพิ่มจีดีพี การส่งออก (ในภาคที่ไม่ใช่น้ำมัน) จากร้อยละ 16 เป็นร้อยละ 50 พร้อมทั้งวางเป้าหมายที่จะลดอัตราการว่างงาน จากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 7 โดยการขับเคลื่อนให้แผนการปฏิรูปฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมนั้น ช่วยสร้างโอกาสในการเข้าไปลงทุนหรือร่วมลงทุนระหว่างกัน โดยทั้งไทยและซาอุฯ สนใจลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาวในกลุ่มธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ

ชวนลงทุนไทยตั้ง Head Quarter

นอกจากนั้นทางซาอุฯยังมีโอกาสที่จะย้ายการดำเนินการ Head Quarter ที่ในภูมิภาคนี้มาที่ประเทศไทยด้วย ซึ่งท้ายที่สุด เมื่อผู้ประกอบการไทยได้กำไรจากการลงทุนดังกล่าวแล้ว ก็จะส่งกำไรกลับมายังประเทศไทย เป็นรายได้เข้าประเทศต่อไป

“ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเดินทางเยือนของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างมหาศาล ดังนั้น ภาคเอกชนของไทยต้องใช้โอกาสอันดีนี้ต่อยอดและขยายผล ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อธุรกิจของตเองแล้ว ยังส่งผลดีต่อภาพรวมการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย  โดยหอการค้าไทย ได้หารือกับภาคเอกชนของทางซาอุฯ นอกรอบมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อเตรียมการส่งเสริมการค้า การลงทุน รวมถึงการท่องเที่ยวระหว่างกัน ซึ่งคาดว่า จะมีการเซ็นเอ็มโอยู ความร่วมมือกัน ต่อ ภายในครึ่งปีแรกนี้ จากการที่ภาครัฐได้ไปเยือนในครั้งนี้