posttoday

จี้ 278 โรงงานเร่งประเมินโควิด สกัดสร้างคลัสเตอร์ใหม่

21 มิถุนายน 2564

'สุริยะ’ กำชับโรงงานทุกแห่งต้องเข้าแพลตฟอร์มประเมินตน เช็คโควิด ปักธงล็อตแรก 278 แห่ง ขณะที่กรอ.ลงพื้นที่ตรวจสอบ 40 โรงงานแปรรูปอาหารกลุ่มเสี่ยงทันที

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้กำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ประเมินตนเองผ่านแบบประเมินตนเอง Thai Stop Covid plus และ Thai Save Thai ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2564 เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในสถานประกอบการ

“ผมได้สั่งการให้ กรอ.เร่งสำรวจตัวเลขพร้อมทั้งกำชับให้โรงงานอุตสาหกรรมร่วมทำแบบประเมินตนเอง Thai Stop COVID Plus (Good factory Practice, GFP) และ Thai Save Thai ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาขึ้น ในการป้องกันการแพร่ระบาดฯ แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการ ผู้ปฏิบัติงาน และแนวทางการปฏิบัติกรณีพบผู้ติดเชื้อซึ่งผู้ประกอบการต้องประเมินตนเองอย่างน้อยทุก 2 สัปดาห์  ขณะที่พนักงานก็ต้องประเมินตนเอง ผ่านแพลตฟอร์ม Thai Save Thai ก่อนเข้าโรงงาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงไม่ให้มีการแพร่เชื้อในสถานประกอบการ”นายสุริยะ กล่าว

ด้านนายประกอบ   วิวิธจินดา  อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ.ได้ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร ในการคัดเลือกโรงงานเป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีจำนวนคนงานมากกว่า 200 คน ซึ่งมีจำนวน 278 โรงงาน จำแนกเป็นโรงงานที่มีคนงาน 200 – 500 คน จำนวน 206 โรง โรงงานที่มีคนงาน 500 – 1,000 คน จำนวน 40 โรง และโรงงานที่มีคนงานมากกว่า 1,000 คน จำนวน 32 โรง เป็นโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับอาหารหรือแปรรูปอาหาร โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า และโรงงานอื่นๆ

“หลังวันที่ 15 มิถุนายน กลุ่มเป้าหมายแรกที่ กรอ. ร่วมกับ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบ จำนวน 40 โรงงานโดยคัดเลือกจากโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง และโรงงานที่มีความแออัดในพื้นที่ปฏิบัติงานก่อน โดยเป็นโรงงานที่ประกอบกิจการเกี่ยวกับอาหาร หรือการแปรรูปอาหารทุกขนาด จำนวน 12 โรง และโรงงานที่มีความแออัดเนื่องจากมีจำนวนคนงานมากกว่า 1,000 คน จำนวน 28 โรง”นายประกอบ กล่าว

นอกจากนี้ ยังได้จัดทำคู่มือแนวปฏิบัติแผนรับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับสถานประกอบกิจการ (Business Continuity Plan : BCP) เพื่อให้แต่ละโรงงานเตรียมรับมือและเตรียมความพร้อมในการประคองกิจการให้สามารถประกอบกิจการต่อไปได้แม้ในยามวิกฤตหรือฉุกเฉิน โดยการกำหนดแนวทาง ดังนี้ 1.จัดตั้งทีมบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business Continuity Plan Team) โดยเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 1 คน เป็นศูนย์กลางบริหารจัดการความต่อเนื่องของธุรกิจ 

2.ระบุวิกฤติหรือเหตุฉุกเฉินและผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการ อย่างน้อย 5 มิติ อาทิ อาคารและสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ เทคโนโลยีและข้อมูลสำคัญ บุคลากรและทรัพยากรทางการเงิน และคู่ค้า/ผู้ให้บริการ/ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3.วางกลยุทธ์ความต่อเนื่องทางธุรกิจเพื่อเป็นแนวทางจัดหาและบริหารทรัพยากรให้มีความพร้อมเมื่อเกิดวิกฤต

และ4. ฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแผนบริหารความต่อเนื่อง โดยโรงงานอุตสาหกรรมควรฝึกซ้อมอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้พนักงานมีความพร้อมรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  อยู่เสมอ รวมถึงปรับปรุงแผนการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ ให้ทันสมัยและสามารถรองรับกับสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น