posttoday

InterCare Asia 2020 ตอบโจทย์สังคมสูงวัย โอกาสผู้ประกอบการในอาเซียน

29 กันยายน 2563

“นีโอ”ผนึกหน่วยงานรัฐ-เอกชน ใช้เวที InterCare Asia 2020 ผลักดันไทยประเทศต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่ยั่งยืน เพิ่มช่องทางเอกชนไทยเจาะตลาดผู้สูงอายุมูลค่ากว่า 1.07 แสนล้านต่อปี

นายศักดิ์ชัย  ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด ผู้จัดงาน InterCare Asia 2020 (อินเตอร์แคร์ เอเชีย 2020) เปิดเผยว่าในปี 2562 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีจำนวนประชากรอยู่ที่  66.5 ล้านคนพบว่ามีสัดส่วนของผู้สูงอายุหรือคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป กว่า 11.13 ล้านคน คิดเป็น 16.73% และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มผู้สูงอายุเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงครอบคลุมอยู่ในทุกธุรกิจ โดยผู้ประกอบการต่างเริ่มให้ความสำคัญกับตลาดผู้สูงอายุมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการในระยะยาว ส่งผลให้ที่ผ่านมามูลค่าตลาดในกลุ่มผู้สูงอายุนั้นมีมากถึง 107,000 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้จากการจัดงาน InterCare Asia  ในปีที่ผ่านมาพบว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่มีอายุ 55 ปี ขึ้นไป เริ่มมีการวางแผนชีวิตเอง ทั้งทางด้านการเงิน การลงทุน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ในช่วงบั้นปลาย โดยไม่ต้องการพึ่งพาลูกหลาน และเริ่มศึกษาเทคโนโลยี อาหารเสริมต่างๆ รวมถึงทริปการท่องเที่ยวให้ชีวิตมีความสุข เพื่อให้มีอายุยืนยาวมากขึ้น

สำหรับเทรนด์ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในตลาดผู้สูงอายุ  คือกลุ่ม Smart Life for Elderly People  นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อาทิ หุ่นยนต์ดูเเลผู้สูงอายุ อุปกรณ์ Smart Home เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายภายในบ้าน อุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ อาทิ อุปกรณ์ฟื้นฟูสมอง เตียงเเละที่นอนอัจฉริยะสำหรับผู้สูงวัย เครื่องยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อุปกรณ์ฝึกเดิน เครื่องออกกำลังกายเเละกายภาพบำบัดเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบโจทย์ผู้สูงวัย 

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาหาร Care food ที่ผลิตเพื่อผู้สูงอายุให้ได้สารอาหารครบถ้วน ทั้งในรูปแบบของอาหารที่มีเนื้ออาหารที่นุ่ม และมีการขึ้นรูปให้ดูน่ารับประทาน อาหารชง เจลลี่ สามารถทานได้ง่ายและแก้ปัญหาด้านการเคี้ยวและการกลืน เป็นต้น

การจัดงาน InterCare Asia 2020 งานแสดงสินค้าและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่สำหรับผู้สูงวัยครบวงจร ครั้งที่ 5 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 – 17 ต.ค. 2563  ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ได้รวบรวมสินค้าบริการด้านผู้สูงอายุ ที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้จากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เพื่อเป็นการสร้างเครือข่ายทางวิชาการ และเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Networking) เพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการ

ด้านไฮไลท์ที่น่าสนใจ อาทิ โซนประชาสัมพันธ์โครงการบ้านพักสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex) โดยกรมธนารักษ์ การประชุมวิชาการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับผู้สูงอายุ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สัมมนาด้านการดูแลสุขภาพและการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุ โดยสถาบันเวชศาสตร์ฯ ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์และวิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น ภายในงานยังได้นำ หุ่นยนต์น้อง "ดินสอ" จาก CT Asia Robotics และน้อง Genie หุ่นยนต์จาก TA ROBOT มาสาธิตการใช้งานที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุ 

น.พ.ฆนัท ครุธกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุและกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม กล่าวว่า ตลาดกิจการดูแลผู้สูงอายุและผู้มีภาวะพึ่งพิงของไทยมีมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งความต้องการสถานบริการผู้สูงอายุไทยถึงแม้ว่าจะมีความต้องการสูง แต่คาดว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้าความต้องการสถานบริการจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ปัจจุบันอัตราการเติบโตของสถานประกอบการดูแลผู้สูงอายุมีเพิ่มขึ้นกว่า 150% จาก 3 -5 ปีก่อน ซึ่งเป็นสถานบริการของรัฐ และเอกชนว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศและยังมีแนวโน้มการเปิดตัวสถานบริการใหม่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดใหม่ที่มีแผนการลงทุนทางด้านนี้ในหลายจังหวัด เช่น ภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นชาวต่างชาติ

น.พ.สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์ฯผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีเป้าหมายยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และนวัตกรรมผู้สูงอายุของอาเซียนโดยไทยได้ริเริ่มผลักดันให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกันก่อตั้ง ASEAN Centre for Active Ageing and Innovation (ACAI) ขึ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางการพัฒนาองค์ความรู้ สนับสนุนงานวิจัย ส่งเสริมนวัตกรรม และสร้างฐานข้อมูลด้านการแพทย์ของอาเซียน ที่จะนำไปสู่การกำหนดนโยบาย และเป็นแนวทางที่จะพัฒนาร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก และด้วยศักยภาพของงาน InterCare Asia 2020 สามารถเป็นเวทีให้สถาบันฯ สร้างเครือข่ายทางวิชาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ  และเป็นการสร้างการรับรู้บทบาทของไทย ซึ่งจะเป็นส่วนเสริมในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์อย่างเป็นรูปธรรมได้ในอนาคต