posttoday

ปตท.อ่วมราคาน้ำมันร่วงขาดทุนสต๊อก 3.5 หมื่นล้าน ฉุดไตรมาสแรกกำไรวูบ

11 พฤษภาคม 2563

"ชาญศิลป์" มั่นใจพร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน หลังโดนโควิด-19 พ่นพิษ กดราคาน้ำมันลดลง กางผลประกอบการไตรมาสแรกขาดทุน 1.5 พันล้านบาท เดินหน้าขยับโครงสร้างธุรกิจ ตั้งทีมเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์วิกฤต

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดไปทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ประกอบกับกลุ่มโอเปกและพันธมิตรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการปรับลดกำลังการผลิตด้วย จนทำให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาด ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงจาก 67.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในช่วงต้นไตรมาส 1 ปี 2563 มาอยู่ที่ 23.4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ส่งผลให้ช่วงสิ้นไตรมาส 1 ปี 2563 กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลประกอบการลดลง จากการขาดทุนสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 35,695 ล้านบาทตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงมากอย่างรวดเร็ว และจากส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทั้งโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์กับวัตถุดิบที่ลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจพลังงาน จึงทำให้ผลประกอบการโดยรวมของ ปตท. ในไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา ปรับลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ปตท.เชื่อมั่นว่า จะสามารถรับมือช่วงสถานการณ์วิกฤต ด้วยการบริหารจัดการการทำธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ พร้อมปรับรูปแบบการดำเนินงานอย่างเหมาะสม สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ประจำปี 2563 ของปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 483,567 ล้านบาท ลดลง 67,307 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานไตรมาสของ 1/2562 และมีกำไรจากการดำเนินงาน EBITDA อยู่ที่ 32,385 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 59.8 จากไตรมาส 1/2562 โดยมีสาเหตุหลักจากผลประกอบการที่ลดลงของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ได้รับผลกระทบสูงจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันตามที่กล่าวข้างต้น

ทั้งนี้ปตท.และบริษัทย่อย มีขาดทุนสุทธิในไตรมาส1/2563 จำนวน 1,554 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิลดลงจำนวน19,000 ล้านบาท หรือลดลงมากกว่าร้อยละ 100.0 จากกำไรสุทธิในไตรมาส4/2563 จำนวน 17,446 ล้านบาทล้านบาท

สำหรับกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง เป็นผลจากราคาและปริมาณการขายของโรงแยกก๊าซฯ และราคาขายที่อ้างอิงราคาน้ำมันเตาในกลุ่มอุตสาหกรรมลดลง ส่วนผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจน้ำมันก็ลดลงจากการขาดทุนของสต็อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและปริมาณขายที่ลดลง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันของอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศ ส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันในการเดินทาง และการขนส่ง

ขณะที่การดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีและวิศวกรรมกลับมีปัจจัยเชิงบวก จากการเข้าซื้อบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) ของ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) รวมถึงธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพิ่มขึ้นจากรายได้การขายที่เพิ่มขึ้นของบริษัท Murphy Oil Corporation และบริษัท Partex Holding B.V. ของ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP)

อย่างไรก็ตามแม้ปัจจัยภายนอกจะส่งผลให้ผลประกอบการ ปตท. ในช่วงไตรมาสแรกลดลง กลุ่ม ปตท.ยังเชื่อมั่นถึงศักยภาพความรวดเร็วขององค์กรในการปรับตัวเพื่อลดผลกระทบทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 และสงครามราคาน้ำมัน โดยมีมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายตามนโยบาย “ลด ละ เลื่อน” ในการบริหารจัดการการทำธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริหารความเสี่ยงด้านราคา ด้านอุปสงค์ อุปทาน สินค้าคงคลัง รวมถึงบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและงบประมาณองค์กรอย่างเคร่งครัด

นอกจากนั้นยังได้ทำการทดสอบความสามารถการรับวิกฤตและความท้าทายในรูปแบบต่างๆ (Stress Test) และ แผนการบรรเทาผลกระทบ (Mitigation Plans)รวมถึงจัดตั้งทีม PTT Group Vital Center เพื่อวางแผนและบริหารจัดการภาพรวมของกลุ่ม รับมือช่วงสถานการณ์วิกฤต พร้อมปรับรูปแบบการดำเนินงานเพื่อให้กลุ่ม ปตท. สามารถเตรียมรับทุกสถานการณ์ในอนาคตและให้ทุกภาคส่วนมั่นใจในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน