posttoday

GPSC ฝ่าโควิด-19 ลุยลงทุนตามแผนตั้งเป้าสร้างมูลค่าปีนี้ 500ล้านบาท

08 พฤษภาคม 2563

GPSC รับอานิสสงส์ ควบรวม GLOW ดันรายได้ไตรมาสแรกทะลุ 1.8 หมื่นล้าน โต 102% โกยกำไรสุทธิ 1,580 ล้านบาท จับตาสถานการณ์โควิด-19ไตรมาส 2 ต่อเนื่อง ยันยังเดินหน้าลงทุนทุกโครงการตามแผน

นายชวลิต   ทิพพาวนิช   ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าโครงสร้างองค์กรใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นมา หลังการเข้าซื้อกิจการ GLOW 

ทั้งนี้ได้จัดทำแผน Synergy ด้านประสิทธิภาพ ความพร้อมจ่าย และการสร้างความมั่นคงในระบบการจัดส่งไฟฟ้าและไอน้ำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในระหว่างปี 2562 - 2567  โดยคาดว่าในปีนี้ จะเริ่มรับรู้มูลค่าการทำ Synergy ร่วมกันได้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 - 500 ล้านบาท มาจากการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า และโครงข่ายร่วมกัน และตั้งเป้าหมายปี 2567 จะรับรู้มูลค่าการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว ประมาณ 1,600 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/63  บริษัทฯ มีรายได้รวม 18,308 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9,241 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 1,580 ล้านบาท เนื่องมาจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และการรับรู้ผลประกอบการจากบริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน)หรือ GLOW เต็มไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่รับรู้รายได้เพียง 18 วัน

ทั้งนี้รายได้จากผลประกอบการหลักๆได้แก่จากการขายไฟฟ้าประเภทผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่(IPP)ปรับตัวเพิ่มขึ้น2,864ล้านบาท โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าศรีราชาเพิ่มขึ้น 461 ล้านบาท จากการเรียกรับไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การรับรู้ได้รายได้จาก IPP ทั้ง 3 แหล่งของ GLOW เพิ่มขึ้น 2,403 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสแรกปี 2562 รับรู้รายได้เพียง 18 วัน โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6,390 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้จาก GLOW เต็มไตรมาส ขณะที่รายได้ของโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 13 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลประกอบการไตรมาส 4/62 บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 29 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 0.2% เนื่องจากโรงไฟฟ้า IPP ไม่มีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผน ทำให้มีรายได้จากค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment หรือ AP) ที่เพิ่มขึ้น โดยมาจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วัน จำนวน 132 ล้านบาท

ขณะที่โรงไฟฟ้า SPP มีรายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง 764 ล้านบาท สาเหตุมาจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลงและมีลูกค้าหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงตามแผนงาน   ส่วนโรงไฟฟ้า VSPP  ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาทเป็นผลจากรายได้การขายไฟฟ้าเพิ่ม ขึ้นของโรงไฟฟ้า อิจิโนเซกิ 1 (ISP1)และการขายไฟฟ้าและน้ำเย็นของบริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด (CHPP) ที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

“ภาพรวมบริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้บริษัทฯ สามารถมีกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าบริษัทฯ จะมีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ในไตรมาส 1 ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 16  ว่าด้วยเรื่องรายได้จากสัญญาเช่าก็ตาม” นายชวลิตกล่าว

อย่างไรก็ตามปัจจัยผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจในภาพรวม ทำให้บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจและติดตามแผนการดำเนินงานของกลุ่มลูกค้าอย่างใกล้ชิด พบว่าลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงมีความต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำในปริมาณที่ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา

ดังนั้นแผนการเดินเครื่องของบริษัทฯงคงกำลังการผลิตไว้ได้ตามแผนเดิมที่วางไว้ ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการเพื่อสร้างความมั่นคงในระบบการผลิตไฟฟ้าและสาธารณูปโภคให้ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดทำแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan: BCP) และมีการจัดเตรียมสถานที่ควบคุมพิเศษ (Safe House) ของพนักงานสายปฏิบัติงาน และการปฏิบัติงาน ณ สถานพักอาศัย (Work From Home) ของสายสนับสนุนการผลิต ซึ่งบริษัทฯ ยังคงใช้มาตรการอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าสถานการณ์แพร่ระบาดในประเทศจะคลี่คลายลง

“แม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯ ที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดมากนัก แต่มีการประเมินว่าโควิด-19 อาจจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ส่งผลให้เกิดการชะลอตัว บริษัทฯ จึงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ ในไตรมาส 2 อย่างใกล้ชิด” นายชวลิตกล่าว