posttoday

พิษโควิดฉุดเศรษฐกิจโลกลดใช้น้ำมัน ทิศทางราคาดิ่งต่อเนื่อง

21 เมษายน 2563

สนพ.จับตาแนวโน้มราคาน้ำมันขาลง หลังทำสถิติความต้องการใช้ต่ำสุดรอบ 25 ปี ผลพวงเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว หลังหลายประเทศล็อกดาวน์คุมโควิด-19 กดยอดใช้น้ำมันลดลง

นายวัฒนพงษ์  คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน  (สนพ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมายังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยความต้องการลดลงต่ำสุดในรอบ 25 ปี ขณะที่รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ เพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ เนื่องจากตลาดยังกังวลเกี่ยวกับความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกหดตัว หลังรัฐบาลในหลายประเทศประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และประเทศในทวีปยุโรป ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ซาอุดิอารเบีย ยังประกาศลดราคาขายน้ำมัน (Official selling price) ของตนเองลงต่อเนื่อง ทั้งยังประกาศว่าการลดกำลังการผลิตจะเริ่มขึ้นในเดือนพ.ค. 2563 ส่งผลให้อาจมีอุปทานน้ำมันดิบในระดับสูงจากซาอุฯ ที่จะเข้ามาในตลาดในเดือนดังกล่าว

อย่างไรก็ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก ที่ทำให้มีการปิดเมืองส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันโลก แม้กลุ่ม OPEC และพันธมิตรจะร่วมลดปริมาณการผลิตในเดือน พ.ค.– มิ.ย. 63 แต่อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยอุปสงค์ที่หายไปได้  โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส  ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 20.78 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ 20.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 3.38 ดอลลาร์สหรัฐ และ 4.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ

ทางสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันโลกอาจลดลงถึง 29 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน เม.ย. 63 ซึ่งเป็นการลดลงต่ำสุดในรอบ 25 ปี และลดลง 9.3 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หลัง 187 ประเทศทั่วโลกต่างออกมาตรการจำกัดการเดินทาง เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19

ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ สัปดาห์สิ้นสุด วันที่ 10 เม.ย. 63 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐฯ ปรับลดกำลังการผลิตตามความต้องการใช้น้ำมันที่หดตัว