posttoday

"สยามเฮลท์ กรุ๊ป" ฝ่าสารพัดวิกฤต เร่งดันยอด "เดนทิสเต้-สมูทอี"

11 มีนาคม 2563

"สยามเฮลท์ กรุ๊ป" ลุยกลยุทธ์ Planet Marketing ฝ่า Digital disruption ย้ำแบรนด์ “ส่ง 2 สินค้า "เดนทิสเต้-สมูทอี" เร่งอัตราเติบโต ลุยตลาดปี 63 โตไม่ต่ำกว่า 10-15% พร้อมบุกตลาดส่งออก

ภก.ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก “เดนทิสเต้” (Dentiste) และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว “สมูท-อี” (Smooth-E) เปิดเผยว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังวิกฤติหนัก ทั้งจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส”โควิด-19” และสมรภูมิการตลาดในโลกยุค Digital disruption การเจาะตลาดกลุ่มคน Gen Y หรือ Gen Z หรือคนอายุต่ำกว่า 30 ปี ต้องใช้กลยุทธ์แตกต่างจากยุค 10 ปีที่แล้ว ซึ่งการตลาดแบบ 4P ไม่เพียงพอ ต้องมีอีก 3P ซึ่งมีอิทธิพลมากขึ้นทุกวัน คือ People, Profit และ Planet เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งและขยายความรับผิดชอบให้เกิดสมดุลของโลกธุรกิจ ทั้งผลกำไร ผู้คน และโลกใบนี้

บริษัทใช้เวลาศึกษาและตัดสินใจใช้กลยุทธ์การตลาดแนวใหม่เปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งกลุ่มแบรนด์เดนทิสเต้และสมูทอี โดยทำการตลาดรูปแบบ Planet Marketing กระตุ้นการรับรู้เกี่ยวกับประเด็นในสังคมที่หลายคนอาจมองข้ามให้เป็นเรื่องน่าสนใจ ทำให้ผู้ที่ได้รับชมภาพยนตร์โฆษณาชื่นชอบแล้วแชร์ต่อเป็นทอดๆ ไม่จำเป็นต้องใช้การส่งเสริมการขายที่มีต้นทุนสูง แต่ได้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นการเปลี่ยนโลกทัศน์การทำตลาด ทั้งในระดับ Regional และ Global

นอกจากนี้ Planet Marketing ยังไม่ใช่แค่การทำเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่บริษัทมีจุดประสงค์คืนกำไรและสิ่งดีๆสู่สังคม ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ที่ได้รับชมภาพยนตร์โฆษณาและสื่อให้เห็นว่า ถ้าเปลี่ยนความคิดแล้ว โลกจะดีขึ้น เป็นประโยชน์แก่สังคม โดยสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาขึ้นมา 2 ชุด คือ ภาพยนตร์โฆษณาของ Dentiste' Mouth Spray Extra Fresh คอนเซ็ปท์ “เพราะคนที่คุณรักอาจตายได้ รักเค้า ห่วงเค้า บอกเค้า บอกเค้า!! DENTISTE' MOUTH SPRAY EXTRA FRESH”

และ ภาพยนตร์โฆษณาภายใต้แบรนด์สมูทอี คือ Smooth-E Cleansing oil with serum หยิบประเด็นปัญหาผู้หญิงจำนวนมากถูกทำร้ายและ 83% ของผู้หญิงที่ถูกทำร้าย เลือกที่จะปกปิดและไม่บอกใคร ซึ่งแคมเปญทั้งสองชุดเป็นกลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่สื่อสารข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์

ภก.ดร.แสงสุข กล่าวว่าผลประกอบการปี 2562 บริษัทสามารถประคองรายได้และผลกำไร อัตราเติบโต 15% ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจและภาพรวมตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังชะลอตัว ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ ทำให้บริษัทกลับมาทำการตลาดแบบ Segmentation, Mixed Marketing และการทำ Emotional Marketing เพื่อตอกย้ำ Positioning การเป็นสินค้ากลุ่มยาเพื่อสุขภาพ เน้นการสร้าง Healthy relationship ภายใต้วิสัยทัศน์สำคัญ คือ การเป็นบริษัทชั้นนำด้านสินค้าสุขภาพและความงามระดับเวิลด์คลาส

สำหรับเป้าหมายในปี 2563 บริษัทเร่งขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ และใช้การตลาดรูปแบบใหม่ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อรุกฐานผู้บริโภคกลุ่มใหม่ รวมทั้งลุยตลาดต่างประเทศ ล่าสุด สินค้ากลุ่มแบรนด์ “เดนทิสเต้” สามารถเจาะตลาด 25 ประเทศ และมีแนวโน้มเติบโตชัดเจน ทั้งในญี่ปุ่น เกาหลี ซึ่งวิธีการทำมาร์เก็ตติ้งแนวใหม่เป็นจังหวะที่ดีมาก คาดภาพรวมของกลุ่มสยามเฮลธ์กรุ๊ปจะมีอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%