posttoday

ไทยส่งออกอาหารรั้งอันดับ 2 ในเอเชีย โกยรายได้ เฉียดล้านล้าน

19 มกราคม 2563

สถาบันอาหาร กางแผนปี'63 ยกระดับเอสเอ็มอี-โอทอป สู่อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปขั้นสูง ปักธงไทยเป็น 1 ใน 10 ผู้ส่งออกอาหารของโลก หลังปี'62 ไทยส่งออกอาหารโลกอันดับ11 มูลค่ากว่า 9.9 แสนล้านบาท

สถาบันอาหาร กางแผนปี'63 ยกระดับเอสเอ็มอี-โอทอป สู่อุตสาหกรรมอาหารแปรรูปขั้นสูง ปักธงไทยเป็น 1 ใน 10 ผู้ส่งออกอาหารของโลก หลังปี'62 ไทยส่งออกอาหารโลกอันดับ11 มูลค่ากว่า 9.9 แสนล้านบาท

นางอนงค์ ไพจิตรประภาภรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า ทิศทางการขับเคลื่อนสถาบันอาหารในปี 2563 มีเป้าหมายจะเป็น1 ใน10 องผู้ส่งออกอาหารของโลก จากปีที่ผ่านมา ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารโลกอันดับที่ 11 ด้วยมูลค่า 33,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ ประมาณ 9.9 แสนล้านบาท มีส่วนแบ่งในตลาดโลก 2.51% ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2561 ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 12 และเมื่อเทียบกับ 5 ประเทศผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียพบว่า ไทยอยู่ในอันดับที่ 2 รองจากจีน

ทั้งนี้ยังเดินหน้าตามมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูประยะ 10 ปี สู่ภาคปฏิบัติ เป็นนโยบายหลักรับช่วงต่อจากมาตรการครัวไทยสู่ครัวโลก ซึ่งในปีนี้จะมุ่งเน้นการยกระดับผู้ประกอบการอาหาร 2 ส่วน ได้แก่ ผู้ประกอบการระดับเอสเอ็มอี ที่มีอยู่เกือบ 1 หมื่นราย ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) และในส่วนของผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนหรือโอทอป ที่มีอยู่กว่า 1 แสนราย ซึ่งเป็นพลังหลักในการสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง(Inclusive Growth Engines)

ทิศทางการทำงานในปี 2563 จึงมุ่งเน้นกิจกรรมหลักที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างนวัตกรรมด้านอาหาร เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการในแต่ละระดับอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความพร้อมในการลงทุนของผู้ประกอบการ เน้นนวัตกรรมที่ทำได้ทันที ด้วยเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารที่ตอบรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในกลุ่มอาหารอนาคต(Future Food) ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชทดแทนเนื้อสัตว์ อาหารวีแกน อาหารนักกีฬา อาหารผู้สูงอายุ อาหารเด็ก การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรและของเหลือ เช่น การผลิตไซรัปจากข้าว รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิตใหม่ๆ ที่ช่วยลดต้นทุน ลดขั้นตอน เพื่อตอบโจทย์ลดการใช้แรงงาน เพิ่มประสิทธิภาพ เป็นต้น

นางอนงค์ กล่าวว่า นอกจากนี้จะศึกษาวิจัยการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจากกัญชง ซึ่งสถาบันอาหารมีความพร้อมที่จะดำเนินการเพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่พร้อมถ่ายทอดแก่ผู้ประกอบการในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรวบรวมข้อมูลด้านต่างๆ ทั้งด้านงานวิจัย กฎหมาย การค้า การพัฒนาวิธีตรวจวิเคราะห์เพื่อหาปริมาณสาร CBD ซึ่งเป็นสารสกัดจากกัญชง ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคและบรรเทาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากส่วนต่างๆ ของกัญชง การถ่ายทอดเทคโนโลยี การอบรมเผยแพร่ความรู้ โดยจะเป็นการทำงานร่วมกับหลายภาคส่วนเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและเตรียมความพร้อมหลังกฎหมายปลดล็อค

ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้มีการผลิตอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่ขยายวงกว้างออกไปอย่างต่อเนื่อง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นด้านอาหารปลอดภัยให้กับผู้ผลิตและผู้ให้บริการอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศทุกระดับ ตั้งแต่วิสาหกิจชุมชน Street Food Food Truck โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร ธุรกิจบริการอาหาร สถานที่ให้บริการอาหารแก่คนหมู่มาก เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์อาหาร เป็นต้น

อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการรับมือกับการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมอาหารสู่ Smart Factory สถาบันอาหารได้มีการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายด้านเทคโนโลยีกับหน่วยงานชั้นนำในต่างประเทศ เพื่อเป็นทางลัดในการพัฒนาและถ่ายทอด ให้ผู้ประกอบการได้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเข้าถึง และนำมาปรับใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น