posttoday

ค้านคมนาคมต่ออายุรถตู้!! แฉขนส่งเปิดช่องโหว่ให้ผู้ประกอบการ

20 สิงหาคม 2562

เครือข่ายเหยื่อเมาฯบุกคมนาคม เรียกร้องให้ทบทวนนโยบายต่ออายุรถตู้ ชี้กรมขนส่งเปิดช่องโหว่ให้รถตู้ลักไก่เพียบ ขณะที่คมนาคมเปรยเพิกถอนใบอนุญาตทำได้ยาก หวั่นกระทบผู้โดยสาร

เครือข่ายเหยื่อเมาฯบุกคมนาคม เรียกร้องให้ทบทวนนโยบายต่ออายุรถตู้ ชี้กรมขนส่งเปิดช่องโหว่ให้รถตู้ลักไก่เพียบ ขณะที่คมนาคมเปรยเพิกถอนใบอนุญาตทำได้ยาก หวั่นกระทบผู้โดยสาร

นายเจษฎา แย้มสบาย ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ มูลนิธิเมาไม่ขับ เปิดเผยว่า จากกรณีอุบัติเหตุรถตู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นรวมถึงเหตุการณ์เก่าๆที่มีผู้เสียชีวิตแบบน่าสยดสยอง ส่งผลให้มีมาตรการออกมาบังคับใช้ทั้งเรื่องล็อคความเร็ว GPS ไม่เกิน 90 กม./ชม.ควบคุมพนักงานขับรถห้ามขับต่อเนื่องเกิน 8-10 ชม./วัน และมาตรการจำกัดอายุรถตู้ห้ามเกิน 10 ปี และจะทยอยเปลี่ยนเป็นรถมินิบัสแทน แต่ปัจจุบันพบว่ากรมการขนส่งทางบกได้เปิดช่องโหว่มากมาย จนทำให้ผู้ประกอบการรถตู้เอาเปรียบผู้โดยสารด้วยการลักไก่ปลดล็อคความเร็ว GPS การวิ่งทำรอบแบบไม่สนใจผู้โดยสาร และการมุ่งหวังแต่รายได้จึงใช้ผู้ขับขี่แบบไม่มีเวลาพัก สุดท้ายเกิดอุบัติเหตุด้วยสาเหตุซ้ำเดิม คือ หลับในและเมาสุรายาเสพติด เกิดอุบัติเหตุมากมายมีทั้งแบบเสียชีวิตและแบบไม่เสียชีวิต รวมถึงอุบัติเหตุเล็กน้อยซึ่งถือว่ามีจำนวนเยอะมากที่ไม่ได้เป็นข่าวให้ประชาชนรับทราบ

ดังนั้นตนจึงคัดค้านนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่ที่ต้องการขยายอายุรถตู้ออกไปอีก 2 ปี จาก 10 ปี เป็น 12 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง ในฐานะของผู้เป็นเหยื่ออุบัติเหตุทางถนนถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย เพราะต่อให้ควบคุมคุณภาพผู้ขับขี่แค่ไหน คุณภาพและประเภทของตัวรถก็ยังคงมีผลมากต่อความรุนแรงในการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง

อย่างไรก็ตามข้อมูลจากศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย ระบุว่าสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุรถตู้โดยสารมาจากการใช้ความเร็วของผู้ขับขี่ เพราะต้องวิ่งทำรอบ หรือเป็นพฤติกรรมส่วนตัวในการขับรถเร็ว แตกต่างกับรถมินิบัสที่สามารถทำความเร็วหรือการแซงได้ช้ากว่ารถตู้

“อุบัติเหตุรถตู้จึงเกี่ยวข้องกับยานพาหนะโดยตรง เมื่อเกิดการชนเกิดขึ้น ถังน้ำมันและท่อน้ำมัน ซึ่งอยู่ข้างหน้าจะแตกทำให้เกิดประกายไฟลุกไหม้ ผู้โดยสารที่กำลังอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บอยู่แล้วจึงไม่สามารถหลบหนีออกจากเปลวเพลิงได้ ขณะที่มินิบัสเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้โดยสารมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า เนื่องจากมีพื้นที่ภายในมากกว่า จึงอยากให้กระทรวงคมนาคมทบทวนเรื่องรถตู้สาธารณะให้ดีๆ ไม่ควรมีมาตรการที่ถอยหลังลงคลอง” นายเจษฎา กล่าว

ด้านน.ส.ศรีจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต และภาคีเครือข่ายลดอุบัติเหตุ กล่าวว่า เครือข่ายขอแสดงจุดยืนและมีข้อเสนอดังต่อไปนี้ 1.มาตรการที่มุ่งเน้นลดอุบัติเหตุ ถือเป็นสิ่งที่ดีและควรดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการติด GPS เพื่อกำกับความเร็ว ชั่วโมงทำงานเกินกำหนด การตรวจวัดแอลกอฮอล์ ฯลฯ แต่มาตรการสำคัญควบคู่กันคือ เกิดเหตุแล้วทำอย่างไรไม่เสียชีวิต ซึ่งการนำรถที่มีโครงสร้างแข็งแรง ไม่เกิดเพลิงลุกไหม้ง่าย สามารถช่วยเหลือผู้โดยสารได้รวดเร็ว ฯลฯ จึงเป็นคำตอบที่ไม่ควรจะมองข้าม

2. ในเส้นทางระยะไกลเช่น กทม.-ต่างจังหวัด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีรถประจำทางและระบบกำกับที่ปลอดภัย จึงไม่ควรเลื่อนอายุใช้งานรถตู้จาก 10 ปี เป็น 12 ปี และไม่ควรเปลี่ยนเป็นมินิบัสแบบสมัครใจ มาตรการด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสารไม่ควรถูกทำให้ถอยหลัง หรือย่ำอยู่กับที่ ควรมุ่งเน้นมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการตามความเหมาะสมเป็นกรณีๆไปเท่านั้น

3. ควรเร่งพัฒนาระบบตรวจสอบประวัติการดูแลรักษา การเปลี่ยนอะไหล่ตามกำหนดมีมากน้อยเพียงใด มีการตรวจสภาพเข้มงวดก่อนอนุญาตอย่างเข้มงวด มีการตรวจทุก 6 เดือน รวมทั้งการสุ่มตรวจบนถนนด้วย และ 4. กำกับพฤติกรรมขับขี่ของคนขับรถสาธารณะ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ขับเร็วเร่งทำรอบ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ การพักผ่อนน้อยต้องไม่มี และเจ้าหน้าที่รัฐต้องตรวจสอบรถและคนขับรถทุกคน อย่างเข้มงวด ไม่มีการละเว้น บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกคน

ขณะที่นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับบทลงโทษผู้ประกอบการรถตู้ที่เกิดอุบัติเหตุนั้นกรมขนส่งทางบกมีแนวทางดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งการเรียกตักเตือน การปรับ การพักใบอนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งหากเรียกตักเตือนแล้วไม่ดำเนินการ ทางผู้ประกอบการจะต่อทะเบียนรถยนต์ไม่ได้

ส่วนกรณีที่เรียกร้องให้พักใบอนุญาตหรือเพิกถอนนั้นคงดำเนินการได้ยาก เนื่องจากการพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบการจะส่งผลให้รถทุกคันในวินรถตู้ไม่สามารถให้บริการได้ทั้งหมด อาจส่งผลกระทบกับผู้โดยสารในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นการจะดำเนินการดังกล่าวได้ต้องพิจารณาด้วยว่าประชาชนได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน