posttoday

สับสนกติกาปาร์ตี้ลิสต์ซับซ้อน...ส่อเศรษฐกิจไทยติดหล่ม

08 เมษายน 2562

ภาคเอกชนห่วงเดตล็อคการเมือง ตั้งรัฐบาลใหม่ช้าฉุดการลงทุนชะงัก ไร้มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง

ภาคเอกชนห่วงเดตล็อคการเมือง ตั้งรัฐบาลใหม่ช้าฉุดการลงทุนชะงัก ไร้มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์
รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย

ต้องยอมรับว่าเลือกตั้ง 24 มีนาคม ที่ผ่านมามีความสับสนมากที่สุดในรอบ 50 ปี สับสนตั้งแต่ช่วงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญที่แฝงกติกาส.ส.บัญชีรายชื่อจากคะแนนเสียงที่ได้ทั้งหมดนำมาเฉลี่ยแบบซับซ้อนให้กับพรรคการเมืองต่างๆที่โหวตผ่านเพราะไม่เข้าใจรูปแบบเลือกตั้งแบบใหม่ ซึ่งต้องอาศัยหลักคณิตศาสตร์แบบพิสดาร ช่วงหาเสียงก่อนเลือกตั้งทั้งกกต. พรรคการเมือง ผู้รู้ทั้งหลายไม่ออกมาชี้แจงวิธีได้มาของส.ส.มีทั้งแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อซึ่งต้องคำนวณหลายชั้นกว่าจะเป็นจำนวนที่นั่งของส.ส.พึ่งมีพึ่งได้ของแต่ละพรรค ผลคือหลังเลือกตั้งกลายเป็นความสับสนอลหม่านเพราะทั้งผู้คุมกติกาเลือกตั้งและพรรคการเมืองรวมถึงสื่อมวลชนต่างใช้วิธีที่แตกต่างกันตามความเข้าใจทำให้จำนวนส.ส.พึ่งมีออกมาต่างกัน

ความสับสนยังเพิ่มมากขึ้นเพราะพรรคใหญ่คู่กัดต่างแย่งชิงความชอบธรรมเป็นแกนตั้งรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยอ้างได้ส.ส.เขตมากสุดถึง 137 คนขณะที่พลังประชารัฐอ้างว่าพรรคตนได้คะแนนรวมทั้งประเทศที่เรียกว่า “ป๊อปปูล่าโหวต” มากที่สุดถึง 8.43 ล้านเสียง อีกทั้งจำนวนส.ส.ของแต่ละขั้วรวมกันไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ทำให้การเมืองติดล็อคขยับไปไหนไม่ได้ ความมั่วไม่รู้กติกาเลือกตั้งระดับชาติทำให้พรรคที่ได้ส.ส.มากออกมาโจมตีว่าวิธีคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ของกกต.ไม่ถูกต้อง เพราะจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเล็ก 12 พรรคไม่รู้ที่มาที่ไปคะแนนควรเป็นของพรรคใหญ่แม้แต่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเขตมากที่สุดแต่กลับไม่มีส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แม้แต่คนเดียว

จนถึงวันนี้ผ่านมาเกิน 1 สัปดาห์แล้วยังหาทางออกไม่ได้จนอดีตกรรมธิการร่างรัฐธรรมนูญต้องออกมาบอกว่าไม่มีอะไรสับสนเพราะกติกาต่างๆ อยู่ในตารางคิดคำนวณส.ส.ซึ่งมีความชัดเจนบอกหมดว่าต้องคำนวณอย่างไรไม่มีความลับสามารถขอดูได้ที่รัฐสภา เรื่องพวกนี้ทำไมนักการเมืองระดับพรรคใหญ่ๆ ผ่านเลือกตั้งมาอย่างโชกโชนจะไม่รู้หรือเป็นไปได้ว่ากกต.ตีความไปอย่างอื่นที่ต่างออกไปจากกติกาที่ระบุไว้

สับสนกติกาปาร์ตี้ลิสต์ซับซ้อน...ส่อเศรษฐกิจไทยติดหล่ม

ประเด็นคือกกต.ควรจะออกมาชี้แจงถึงตารางวิธีการคำนวณส.ส.ให้ประชาชนและพรรคการเมืองได้เข้าใจไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเป้านิ่ง โดยเฉพาะจำนวนผู้มาลงคะแนนสองรอบที่ต่างกันถึง 4 ล้านกว่าคน ตรงนี้ชาวบ้านเขาติดใจ จนถึงวันนี้จำนวนผู้ที่ยื่นขอถอดถอนน่าจะเฉียดล้านคนซึ่งไม่ควรมองข้ามเพราะกำลังขยายวงกว้างมากขึ้น หากมีความไม่ชัดเจนจะส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคที่ชูลุงตู่เป็นนายกฯ อาจทำให้ไม่ยอมรับซึ่งจะทำให้เกิดวัฏจักรความวุ่นวายตามมา ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนว่าปัญหาจะลุกลามหนักหนากว่าช่วงที่ผ่านมาเพราะมีการสนธิพลังของพรรคการเมือง-กลุ่มมวลชนและนักศึกษา เป็นปรากฏการณ์ใหม่สถานการณ์คงไม่ค่อยดีนักจนบิ๊กทหารออกมาเตือนแบบนุ่มๆและเร็วๆนี้กลายเป็นความแข็งกร้าวเพราะกองทัพคงไม่ยอมให้มีการใช้ประโยชน์จากความสับสนของกติกาเลือกตั้งจนไปสู่วิกฤตของประเทศเหมือนในอดีต

ด้านเศรษฐกิจของไทยซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความวุ่นวายทางการเมืองแบ่งเป็นสีเป็นขั้ว ก่อนคสช.จะเข้ามาละเลงเล่นกันจนถึงขั้นชัตดาวน์ประเทศจนเศรษฐกิจพังยับเยินจนถึงปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวดีเหมือนก่อน แถมเศรษฐกิจโลกทำท่าชะลอตัวไปอย่างน้อยถึงปีหน้าทั้งธนาคารโลกและองค์กรการค้าโลกต่างปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจคาดว่าอัตราการค้าทั่วโลกจะขยายตัวลดลงจากร้อยละ 3.7 เหลือเพียงร้อยละ 2.6 ผลกระทบที่ชัดเจนต่อไทยไตรมาสแรกส่งออกถึงขั้นติดลบอีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากร้อยละ 4 เหลือร้อยละ 3.8

ล่าสุดองค์กรเอกชนออกมาแสดงความกังวลต่อการเดดล็อกการเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อความล่าช้าของการตั้งรัฐบาลชุดใหม่เป็นความเสี่ยงสำคัญระดับต้นๆของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะประเด็นเสถียรภาพของรัฐบาลรวมถึงการชะงักงันการลงทุนและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะมีผลต่อกำลังซื้อของภาคประชาชนเพราะปีนี้หวังพึ่งส่งออกไม่ได้ แต่ในช่วงสั้นๆคงไปได้เพราะกำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์มีวันหยุดยาวทำให้ประชาชนออกมาเที่ยวและจับจ่ายใช้สอยคงพอถูไถไปได้ แต่ระยะต่อไปหากการเมืองยังไม่ได้ข้อยุติหรือตั้งรัฐบาลแล้วประชาชนไม่ยอมรับจากกติกาวิธีการคำนวณตัวเลขปาร์ตี้ลิสต์อาจนำไปสู่การเมืองข้างถนนซึ่งตรงนี้เป็นความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยที่ยังต้องพึ่งพาการลงทุนและการท่องเที่ยวจากต่างชาติ
ดังนั้นทั้งกกต.และผู้ที่รับผิดชอบกติกาเลือกตั้งรวมถึงนักวิชาการและสื่อที่ไม่ฝักใฝ่เลือกข้างต้องออกมาชี้แจงให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริงตรงไหนพลาดแบบไม่ตั้งใจก็ควรยอมรับอภัยกันได้ แต่ต้องโปร่งใสไม่ให้มีความเคลือบแคลงใจว่ากกต.ไปเลือกข้าง อย่าปล่อยให้สื่อที่ขาดจริยธรรมหรือโซเชียลมิเดียที่แชร์กันโดยไม่มีข้อเท็จจริง จะโทษใครก็ไม่ได้เพราะ “ฮีโร่” ขี่รถถังอาสาแผ่นดินเข้ามาแก้ปัญหาประเทศช่วงวุ่นวาย มัวแต่ไปทำเรื่องอีอีซี-รถไฟไฟฟ้า-ทางคู่เชื่อมจีน-ประชานิยม จนลืมประเด็นสำคัญที่ประชาชนยอมให้อยู่ยาวเพื่อแก้ปัญหาปรองดอง......แล้ววันนี้เป็นไงจริงไหมครับ(สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat)