posttoday

เปิดทิศทางลงทุน "อินทัช" ปักธงสตาร์ทอัพ5จี

25 กุมภาพันธ์ 2562

"อินทัช"ให้ความสำคัญกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้เทคโนโลยี 5จี ที่คดว่าจะเริ่มใช้ในไทยอีก2-3ปีข้างหน้า

"อินทัช"ให้ความสำคัญกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้เทคโนโลยี 5จี ที่คดว่าจะเริ่มใช้ในไทยอีก2-3ปีข้างหน้า

********************

โดย...วันเพ็ญ พุทธานนท์

หลังจากเปิดกว้างลงทุนสตาร์ทอัพมานาน 7 ปี จนถึงปัจจุบัน โครงการบริษัทร่วมทุนอินเว้นท์ โดยบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ ลงทุนในสตาร์ทอัพแล้ว 17 ราย ภายใต้งบลงทุนรวมกว่า 500 ล้านบาท ขณะที่ทั้ง 17 บริษัทที่เข้าไปลงทุนมีมูลค่ารวมถึง 1,200 ล้านบาท จึงน่าจับตาว่านับจากนี้ทิศทางของอินเว้นท์จะเป็นอย่างไรต่อไปในยุคที่สตาร์ทอัพเกิดขึ้นมากมาย

ณรงค์พนธ์ บุญทรงไพศาล หัวหน้าโครงการบริษัทร่วมทุนอินเว้นท์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาอินเว้นท์เน้นการลงทุนสตาร์ทอัพในกลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์เป็นหลัก โดยในปี 2561 ที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนรวม 190 ล้านบาท ลงทุนในสตาร์ทอัพ 6 บริษัท

จนถึงปัจจุบันบริษัทเข้าลงทุนในสตาร์ทอัพ 17 บริษัท และขายออกไปแล้ว 2 บริษัท ซึ่งในจำนวนสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมลงทุนทั้งหมด 50% สามารถทำกำไรและเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ซึ่งถือว่าน่าพอใจ

สำหรับปีนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่น่าสนใจไว้ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งจะยังคงเน้นกลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง แต่ที่เพิ่มเติมมาคือ การมองธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้เทคโนโลยี 5จี ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ในประเทศไทยอีก 2-3 ปีนับจากนี้ บริษัทจึงต้องมองการลงทุนในธุรกิจกลุ่มนี้ไว้ก่อน เพราะหากเริ่มใช้ 5จีก็จะทำให้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ทันที

“5จี ที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความเร็วเหมือน 4จี แต่จะมีเรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น เกิดการเชื่อมต่อและเกิดแอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ๆ อีกมากมาย ซึ่งหากมีสตาร์ทอัพเกี่ยวกับ 5จี ที่น่าสนใจและมีศักยภาพบริษัทก็พร้อมจะเพิ่มงบลงทุน” ณรงค์พนธ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้มีโครงการที่สนใจเข้าไปลงทุนไม่ต่ำกว่า 4-5 โครงการ ในจำนวนนี้เป็นธุรกิจสตาร์ทอัพในต่างประเทศ 2 ราย โดยธุรกิจที่เจรจาสรุปแล้วมี 2 ราย เป็นสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและเฮลท์เทค

ทั้งนี้ ปกติอินเว้นท์จะลงทุนใน 2 ระดับ คือ บริษัทที่อยู่ในระยะเริ่มต้นใช้เงินลงทุนไม่เกิน 20 ล้านบาท และบริษัทที่เริ่มมีลูกค้าและทำตลาดแล้ว ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 30-40 ล้านบาท โดยบริษัทที่อินเว้นท์ใช้เงินลงทุนสูงสุดคือ วงในอยู่ที่ 60 ล้านบาท

ณรงค์พนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการลงทุนของอินเว้นท์จะคาดหวังไว้3 ส่วน ได้แก่ 1.Spend ซึ่งเป็นการใช้เงินที่ลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์ตรงตามวัตถุประสงค์ 2.Scale เป็นธุรกิจที่สามารถนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายธุรกิจ และ 3.Study ศึกษาข้อผิดพลาด เพื่อนำมาปรับกลยุทธ์และลงทุนใหม่

ขณะที่การเติบโตของอินเว้นท์ที่ผ่านมา พบว่า ในปี 2561 เติบโตได้ถึง 30-40% จากการลงทุนรอบใหม่ของธุรกิจที่เข้าร่วมทุน ส่วนในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 7-12% และอาจมีโอกาสขายธุรกิจที่เข้าร่วมลงทุนประมาณ 1 ธุรกิจ ซึ่งจะทำให้การเติบโตของรายได้บริษัทเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันประเทศไทยจะมีจำนวนสตาร์ทอัพเกิดใหม่มากมาย แต่มองว่าสตาร์ทอัพไทยใช้เวลาในการสร้างธุรกิจและประสบความสำเร็จนานกว่าสตาร์ทอัพในต่างประเทศเป็นผลจากจำนวนประชากรและเทคโนโลยี โดยประเทศที่มีจำนวนประชากรมากก็จะทำให้เกิดการใช้งานมากขึ้นและเติบโตเร็ว