ยอดขายอีซี่พาสวูบ

ปัญหาอีซี่พาสรวน ฉุดยอดคนซื้อใหม่วูบกว่าเท่าตัว กทพ.รับยอดรายได้ไม่เพิ่ม หลังอัดงบแก้ไข

นายอัยยณัฐ ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ปัญหาระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ หรืออีซี่พาส ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ใช้ทางด่วนเกิดความกังวล ส่งผลให้มีการซื้ออีซี่พาสเพิ่มต่ำมาก โดยซื้อเฉลี่ยวันละ 100-200 ใบ จากเดิมเฉลี่ยวันละ 500 ใบ แต่ปริมาณการเติมเงินของผู้ใช้เดิมไม่ได้ลดลง และปี 2557 ได้เตรียมสำรองบัตรอีซี่พาสไว้รองรับผู้ใช้ 3 แสนใบ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กทพ.ได้แก้ปัญหาระบบอีซี่พาส จนขณะนี้สามารถรองรับข้อมูลได้มากถึง 1 ล้านรายการ จากเดิมรองรับได้ 5 แสนรายการ มีผู้ใช้บัตรอีซี่พาส 5 แสนใบ จากบัตรที่จำหน่ายไปทั้งหมด 7 แสนใบ มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาข้อมูลการตัดค่าผ่านทางค้างสะสมเหมือนที่ผ่านมาแน่นอน

ปัจจุบันยังพบว่ามีผู้ใช้บัตรอีซี่พาสที่เงินในบัตรติดลบอีกประมาณ 2 หมื่นราย มูลค่ารวมประมาณ 2 ล้านบาท ยอดติดลบสูงสุดใบละประมาณ 4,000 บาทมี 4-5 ราย โดยตั้งแต่เดือน พ.ย. กทพ.จะเริ่มติดตามทวงถามหนี้ และหากผู้ใช้บัตรเหล่านี้เข้ามาใช้บริการจะมีปัญหาไม้กั้นไม่ยก หรือเมื่อเติมเงินแล้วเงินถูกตัดย้อนหลัง

อย่างไรก็ตาม กทพ.ยังต้องติดตามปริมาณการใช้อีซี่พาสภายหลังเปิดให้บริการระบบอีซี่พาสที่ด่านเก็บค่าผ่านทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองของกรมทางหลวงภายในสิ้นปีนี้ว่าจะมีปริมาณเท่าใด เบื้องต้นคาดว่าจะเพิ่ม 1-5 แสนใบ โดยความสามารถในการประมวลผลของระบบอีซี่พาสยังสามารถรองรับได้ แต่หากเพิ่มขึ้นมากอาจต้องปรับปรุงระบบใหม่

นอกจากนี้ วันที่ 1 พ.ย. กทพ.จะปรับขึ้นค่าผ่านทางพิเศษอุดรรัถยา สายบางปะอิน-ปากเกร็ด เฉพาะรถ 6-10 ล้อ ในอัตรา 5 บาท คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณรถยนต์ลดลงเล็กน้อย หรือไม่เกิน 10% เนื่องจากการปรับค่าผ่านทางไม่มีผลกับรถยนต์ 4 ล้อ

“การปรับขึ้นค่าผ่านทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมาพบว่าปริมาณรถยนต์ลดลงไม่มากเฉลี่ย 5% จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 10%” นาย|อัยยณัฐ กล่าว

ขณะที่รายได้ของ กทพ. ในปี 2556 มีอัตราใกล้เคียงกับปี 2555 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาอีซี่พาส และการให้ส่วนลดเติมเงินในบัตร โดย กทพ.มีค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบอีซี่พาสปีละประมาณ 100 ล้านบาท รวมทั้งการศึกษาโครงการต่างๆ ส่วนปริมาณรถยนต์เฉลี่ยปีนี้อยู่ที่วันละ 1.8 ล้านเที่ยว เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่วันละ 1.6 ล้านเที่ยว ขณะที่หนี้สินรวมอยู่ที่ 6.7 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดิมที่มีหนี้ 1 แสนล้านบาท