คุมโรงงานกำจัดขยะอุตฯ
อุตฯ คุมเข้มโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เช็กข้อมูลทุก 15 วัน หลังถูกขึ้นบัญชีดำแล้ว 9 โรงงาน
อุตฯ คุมเข้มโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เช็กข้อมูลทุก 15 วัน หลังถูกขึ้นบัญชีดำแล้ว 9 โรงงาน
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมโรงงานอุตสาห กรรม (กรอ.) และอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ ติดตามโรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้เข้าสู่ระบบเข้มข้นขึ้น แก้ปัญหาลักลอบทิ้งน้ำเสียและกากขยะอุตสาหกรรมจากโรงงาน
ด้านนายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรมทั่วประเทศ โดยมี นายประพัฒน์ วนาพิทักษ์ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธาน เพื่อติดตามและนำผลมารายงานทุก 15 วัน นำข้อมูลที่ได้มาใช้เป็นฐานข้อมูลในการวางมาตรการกำกับดูแลต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้สั่งให้อุตสาห กรรมจังหวัดทั่วประเทศสำรวจปริมาณกากอุตสาหกรรม ว่าปัจจุบันมีการเข้าระบบแล้วมากน้อยแค่ไหน ซึ่งขณะนี้พบว่ามีปริมาณกากอุตสาหกรรมที่เข้าระบบแล้วเพียง 50% ต้องติดตามส่วนที่เหลือต่อว่าไปอยู่ที่ไหน
นายประพัฒน์ กล่าวว่า กรมโรงงานเริ่มลงทะเบียนรถขนส่งกากอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ให้มาติดตั้งระบบติดตามผ่านดาวเทียม (จีพีเอส) ให้เร็วที่สุดภายใน 60 วัน
ปัจจุบันมีการติดตั้งระบบจีพีเอสอยู่แค่ไม่กี่คันเท่านั้น และหากมีการตรวจพบว่ารถขนส่งกากอุตสาหกรรมคันใดลักลอบนำกากอุตสาหกรรมไปทิ้งผิดกฎหมาย ก็จะดำเนินการไปถึงตัวโรงงานเจ้าของกากอุตสาหกรรมให้รับผิดชอบร่วมกันด้วย เพราะเดิมเมื่อกากอุตสาหกรรมหลุดออกจากโรงงานแล้ว ก็จะพ้นความรับผิดชอบของโรงงานนั้น ทำให้ไม่สามารถหาผู้กระทำผิดมารับผิดชอบได้
สำหรับปริมาณกากอุตสาหกรรม (ทั้งที่อันตรายและไม่อันตราย) ที่ได้รับอนุญาตให้จัดการในระบบช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-พ.ค. 2555) มีปริมาณกากอุตสาหกรรมที่ไม่อันตราย 12.98 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่อยู่ในระบบรวม 25.3 ล้านตัน ส่วนปริมาณกากอุตสาหกรรมอันตรายเข้าระบบแล้ว 1.36 ล้านตัน จากปีก่อนที่เข้าระบบแล้ว 2.65 ล้านตัน
แหล่งข่าวจากกระทรวงอุตสาห กรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้มีโรงงานผู้รับกำจัดและบำบัดกากอุตสาห กรรมที่ถูกขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) ทำให้ไม่สามารถรับกำจัดและบำบัดกากอุตสาหกรรมได้ 9 โรงงาน จากโรงงานทั้งหมด 2,231 โรงงาน โดยได้แจ้งเตือนให้เร่งปรับปรุงการดำเนินงานแล้ว หากไม่ดำเนินการแก้ไขภายในกำหนด ก็จะดำเนินถอนใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.กรมโรงงานต่อไป