posttoday

ผลตอบแทนของหุ้น (ตอนที่ 2)

27 มกราคม 2559

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

โดย...กิติชัย เตชะงามเลิศ นักลงทุนหุ้นและอสังหาริมทรัพย์

บทความที่แล้ว ผมได้พูดถึงผลตอบแทนจากตลาดหลักทรัพย์ไทยตั้งแต่สิ้นปี 2557 จนถึงต้นปี 2559 แล้วได้ลงไปถึงกลุ่มพลังงานที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับนักลงทุนในกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก ล่าสุดมีข่าวการฆ่าตัวตายของนักลงทุนในตลาดหุ้น จากความเครียดที่ประสบผลขาดทุนอย่างมาก นับเป็นอุทาหรณ์เตือนใจนักลงทุนท่านอื่นๆ ให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง ต้องศึกษาวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวที่จะลงทุนเป็นอย่างดี และควรจะกระจายการลงทุนในหลายๆอุตสาหกรรม ดังโบราณเขาว่า ไม่ควรเอาไข่ใส่ในตระกร้าใบเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ควรจะมีการทำASSET ALLOCATION ให้ดี โดยจัดแบ่งสรรปันส่วนเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

นอกจากหุ้นแล้วยังมีอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ตราสารหนี้ ถ้ามีเงินลงทุนมาก ก็อาจจะกระจายการลงทุนในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และตราสารหนี้ต่างประเทศด้วยยิ่งดี เพราะว่าบางช่วงเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่ำ โดยเฉพาะช่วงหลังๆนี้ NEW NORMAL ของการเติบโต GDP บ้านเรา โอกาสที่จะเห็น 4% นี้ยากมาก โดย GDP ของไทยเราอยู่อันดับโหล่ๆของ ASEAN  เลยทีเดียว ดูเหมือนเราจะกลายเป็นคนป่วยของ ASEAN จริงๆ ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนต่างประเทศ โดยเลือกตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตสูง แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระวังก็คือ มีโอกาสขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเวลาแลกกลับมาเป็นเงินบาท อาจจะเหลือกำไรไม่มากก็ได้ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินที่เราไปลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศนั้นๆ

เรากลับมาดู SECTOR อื่นๆที่ทำให้ SET INDEX ตกลงมาถึง 14% กันดูว่า นอกจากกลุ่มพลังงานที่พูดไปเมื่อบทความที่แล้ว ยังมีกลุ่มธนาคารเมื่อสิ้นปี 2557 ปิดที่ 595.17 แล้วลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 400.37 เท่ากับดิ่งลงไป 194.80 คิดเป็น 32.73% ลงหนักกว่ากลุ่มพลังงานเสียอีก เพราะว่ากลุ่มพลังงานลงไปแค่ 29.05% ทั้งๆที่ราคาน้ำมันลดกระหน่ำซะขนาดนั้นก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าปีที่ผ่านมา NPL ของกลุ่มธนาคารสูงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัท สหวิริยาสตีล จำกัด (SSI)  ซึ่งถูกจัดชั้นเป็นหนี้ประเภท NPL ไปเรียบร้อยทำให้เจ้าหนี้อย่างSCB ,KTB และ TISCO มีหนี้ NPL สูงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่ากระทั่ง KBANK ที่ไม่ได้ปล่อยกู้ให้กับ SSI ก็ยังมีหนี้ NPL สูงขึ้นมาติดันดับ TOP 3 เสียด้วย  น่าจะเป็นเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ทำให้ลูกหนี้มีรายได้ไม่พอที่จะส่งหนี้ให้กับสถาบันการเงิน ก็อย่างที่เรารู้กันว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยปัจจุบันย่ำเข้าไปกว่า 80% สูงเป็นอันดับ 2 ของ ASEAN เป็นรองก็เพียง มาเลเซีย เท่านั้น
ยิ่งปีที่ผ่านมา ราคาพืชผลทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ ภาคส่งออกติดลบ การบริโภคภายในประเทศไม่ค่อยดี ภาคที่ยังพอเติบโตได้ดีก็คือ ภาคการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สายการบิน สนามบิน ล้วนแต่ได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ลดลงมาอย่างมาก และปริมาณนักท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุด วันก่อนผมได้ไปเดินที่ DUTY FREE SHOP ปรากฎว่า ประมาณ 90 กว่า% เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เหลือเป็นคนไทย และ ชาวเอเชียชาติอื่นๆ ไม่เห็นชาวตะวันตกแม้แต่คนเดียวเลย นี่ถ้าเมื่อไหร่ นักท่องเที่ยวจีนไม่เข้ามาเที่ยวเมืองไทย DUTY FREE เหล่านี้คงต้องเลิกกิจการเป็นแน่ ภาคบริการที่ยังดีอยู่ก็คือโรงพยาบาล
จากงบการเงินที่ประกาศออกมา รวมทั้งประมาณการของ ANALYSIS CONSENSUS ยังแสดงให้เห็นการเติบโตของธุรกิจนี้

เนื้อที่หมดแล้วไว้บทความหน้า ผมจะมาพูดถึง SECTOR ต่อไปที่มีผลทำให้ SET INDEX ตกถล่มทลาย อย่าลืมติดตามอ่านกันครับ