ลงทุนในกองทุนหุ้นอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนตามคาด
โดย...สมิทธ์ พยมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์
โดย...สมิทธ์ พยมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์
กองทุนหุ้นนับเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับที่เหนือกว่าเงินเฟ้อได้ เราจึงควรแบ่งเงินออมบางส่วนมาลงทุนในหุ้นเพื่อช่วยรักษาอำนาจซื้อของเราในอนาคตเอาไว้ แต่อย่างที่รู้กันดีว่าหุ้นมีขึ้นมีลง ผันผวนสูง แล้วจะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ต้องการได้อย่างไร
สถิติทั่วโลกระบุชัดว่าหากเราลงทุนในหุ้นเป็นเวลายาวพอสมควรจะสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้จริง สำหรับตลาดไทยก็เช่นกัน ขอยกตัวเลขคร่าวๆ ประกอบให้เห็น กล่าวคือ หากเราลงทุนในหุ้นตั้งแต่มีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เราจะได้ผลตอบแทนจากราคาหุ้นโดยเฉลี่ย 7% ต่อปี และรวมกับเงินปันผลที่ได้รับอีกประมาณ 3-4% ต่อปี เราจะได้ผลตอบแทนประมาณ 10% ต่อปีกันเลยทีเดียว สูงกว่าตราสารการเงินชนิดอื่นๆ อยู่พอสมควร แต่เราก็กลับไปลงทุนตั้งแต่ตอนจัดตั้งตลาดกันไม่ได้แล้ว แล้วจากนี้ไปจะลงทุนกันอย่างไรดีจึงได้ผลตอบแทนแบบนี้อีก
สำหรับผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ตลาดขึ้นหรือลง ควรเน้นการลงทุนระยะยาว ซึ่งเราเคยแนะนำให้ลงทุนแบบต้นทุนถัวเฉลี่ย (Dollar Cost Averaging) หลักการคือการปันเงินออมเท่าที่เราพอมีกำลังในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน ขอย้ำว่าต้องเป็น “เงินเย็น” คือ เงินส่วนเหลือเก็บจริงๆ ยังไม่ต้องนำใช้ และไม่ได้กู้ยืมใคร และต้องลงทุนเป็นประจำสม่ำเสมอสะสมไปเรื่อยๆ บางปีอาจจะมีขาดทุนบ้างก็ไม่ต้องไปเครียดเพราะเรายังไม่ถอนออกมา เวลาที่หุ้นกลับเป็นขาขึ้นส่วนที่ขาดทุนนี้จะเพิ่มพูนกลับมาเอง และมีกำไรในที่สุด
สำหรับนักลงทุนที่มีเวลา สามารถติดตามและวิเคราะห์ผลกระทบจากปัจจัยที่มีผลต่อตลาดได้พอสมควร ก็สามารถลงทุนโดยหวังผลตอบแทนในระยะสั้นๆ ได้จากการจับจังหวะการเข้าลงทุนในกองทุนและขายทำกำไรเป็นรอบๆ โดยเข้าลงทุนได้ในช่วงที่คาดว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น เมื่อได้กำไรเป็นที่พอใจก็ขายออก จะขายออกหมด หรือจะขายออกบางส่วนตุนกำไรไว้ก่อนบ้าง ส่วนที่เหลือปล่อยไว้เผื่อหุ้นขึ้นต่อก็ยังได้ แต่หากเราคาดผิดตลาดไม่เป็นไปอย่างที่คิดเงินที่ลงทุนไปยังไม่มีกำไร ทั้งยังอาจจะขาดทุนอีกต่างหากก็ให้พักเงินไว้ในกองทุนไปก่อน เพราะเงินลงทุนเราเป็นเงินเย็น ไม่ควรรีบร้อนขายควรรอจนกว่าจะได้กำไรก็ค่อยขายออก จะเห็นว่าเราสามารถสร้างผลตอบแทนจากกองทุนหุ้นได้ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนระยะยาวหรือระยะสั้น แต่กฏเหล็กก็คือต้องลงทุนด้วยเงินเย็นและไม่ด่วนใจร้อนขายเมื่อเห็นขาดทุน ถ้าปฏิบัติเช่นนี้เรามักจะได้กำไรในระดับหนึ่งเสมอ
ในปัจจุบันกองทุนรวมมีมากมายหลายรูปแบบแตกต่างกันออกไป เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้เหมาะกับความต้องการและความเสี่ยงที่รับได้ของผู้ลงทุน เช่น กองประเภท General Fund กองทุนชนิดนี้ไม่มีข้อจำกัดเฉพาะเจาะจง จึงเป็นข้อดีที่กองทุนจะสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนให้เหมาะกับแนวโน้มการลงทุนได้ในแต่ละช่วงเวลา กองทุนจะมีกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดีทั้งในระดับรายอุตสาหกรรมและรายหุ้น จึงมักจะมีจำนวนบริษัทที่ลงทุนมากกว่ากองทุนประเภทเฉพาะเจาะจง และกองทุนประเภท Specific/Style Fund กองทุนนี้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนอย่างเต็มที่ในแต่ละช่วงวงจรของการลงทุน เนื่องจากในแต่ละขณะจะมีบางธุรกิจ บางอุตสาหกรรม หรือบางรูปแบบของการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่า
หากต้องการผลตอบแทนจากกองทุนเหล่านี้เราจะต้องประเมินทิศทางและประเภทของธุรกิจที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่านั้นได้ถูกต้อง มิฉะนั้นอาจจะต้องรอกันนานหรือรอรอบใหม่กว่าจะได้ผลตอบแทน
และสุดท้าย Index Fund หรือกองทุนรวมดัชนี กองทุนจะลงทุนเลียนแบบดัชนีอ้างอิง (Benchmark) ที่ระบุไว้ ผลตอบแทนที่ได้รับจะใกล้เคียงกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนี จึงเป็นทางเลือกลงทุนสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนโดยไม่ต้องการพึ่งพาผู้จัดการกองทุน และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่ซึ่งยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลงทุนในกองทุนแบบใดจึงจะเหมาะสมกับความต้องการและความเสี่ยงที่รับได้ และกองทุนประเภทนี้จะมีค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำกว่ากองทุนหุ้นทุนประเภทอื่นด้วย
นอกจาก Index Fund ที่ลงทุนเลียนแบบดัชนีตลาดรวมแล้ว ยังมีกองทุนดัชนีที่เฉพาะเจาะจงลงไปอีกเรียกกันว่า Sector Fund ซึ่งจะเลียนแบบในรายดัชนีอุตสาหกรรมที่กำหนดไว้ เช่น หมวดพลังงาน หมวดธนาคาร เป็นต้น แต่จะมีความเสี่ยงสูงกว่า Index Fund มาก เพราะนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในอุตสาหกรรมเดียวกันทำให้เกิดการกระจุกตัวสูง นักลงทุนจึงต้องมีข้อมูลที่แม่นยำว่าช่วงไหนเหมาะกับอุตสาหกรรมประเภทใดจึงจะเข้าไปลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีได้และต้องเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูงได้ด้วย
นักลงทุนพอจะเห็นแนวทางการลงทุนในกองทุนหุ้นให้ได้ผลตอบแทนตามคาดหวังกันแล้ว ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนทุกประเภทต่างก็มีความเสี่ยง จึงควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนนะครับ


