posttoday

แรงบันดาลใจสร้างทุกอย่าง

10 มิถุนายน 2564

คอลัมน์ Great Talk

“คุณเกรทครับเราจะเอาแรงบันดาลใจจากไหนดีครับให้เขียนแชร์เรื่องราวเราได้บ่อยๆ"

เอาจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกครับ เพราะทุกๆวันที่ผมต้องเขียนเพื่อลงให้คอลัมภ์ต่างๆ พอถึงเวลาผมก็นั่งปวดหัวเหมือนกัน เพราะเวลาเราซึมซับองค์ความรู้ต่างๆรอบตัวนั้น ผมซึมซับมันเป็นภาพและความรู้สึกแต่เวลาต้องเขียนมันต้องอาศัยการปรับเนื้อหาให้เป็นภาษาเขียนและที่สำคัญเรื่องราวที่เขียนต้องดูน่าสนใจสำหรับผู้อ่านด้วย

งานเขียน จึงเป็นงานที่ดูง่ายแต่ไม่ง่ายฟัง พูด อ่าน เขียน คือแนวทางการพัฒนาปัญญาขั้นต้น ที่คือ สุตตมยปัญญา เป็นสิ่งที่เราต้องอาศัยการฝึกฝนตนเองอยู่บ่อยๆ การฟังต้องฝึกที่จะฟัง เช่น บางคนฟังแต่ไม่ได้ยิน หมายความว่า ฟังไปงั้นแหล่ะไม่ได้ใส่ใจเนื้อหาหรือสิ่งที่ผู้พูดพยายามบอกหรือฟังแต่คิดไปเรื่องอื่นหรือฟังแต่คิดแต่เรื่องของตนเอง

เรื่องที่ตัวเองอยากจะพูดหรือในหัวคิดแต่เรื่องสิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ต้องการนำเสนอแต่ผลประโยชน์ของตนเอง นี่เรียกว่าฟังแต่ไม่ได้ยินการพูด อยากจะพูด พูดแต่เรื่องของตนเอง ไม่ได้สนใจคนฟังว่าพื้นฐานเขาเป็นใคร เขาชอบอะไรสนใจอะไร พูดน้ำไหลไฟดับ พูดแบบไม่มีข้อมูลอ้างอิง เอาเรื่องเล่นมาพูดกับคนจริงจัง เอาเรื่องจริงจังไปพูดเล่น อย่างนี้ เรียกว่า พูดแบบพ่นอย่างเดียว

การอ่าน เป็นสกิลที่ต้องฝึกเช่นกัน การอ่านแบบจับใจความสำคัญอ่านเพื่อนำรายละเอียดไปสอบ อ่านเพื่อเอาข้อมูลไปวิจัย อ่านเพื่อไปเล่าเรื่อง อ่านเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ทุกเป้าหมายของการอ่านล้วนมีเทคนิคแตกต่างกัน อ่านเรื่องที่เราชอบอ่านเรื่องที่เราไม่ชอบเช่น

เราชอบอ่านนิยายเราจะสนุกกว่าอ่านหนังสือกลศาสตร์ควอนตั้มฟิสิกส์ การอ่านต้องอาศัยการฝึกฝนไปเรื่อย อาจมีการอ่านแล้วจดในเนื้อหาที่ตนเองเข้าใจประกอบควบคู่ไปด้วยในช่วงแรก จะทำให้การอ่านมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเขียน แรกๆก็ต้องฝึกเขียนโดยอาศัยจากการฟังหรือการอ่านมาใช้ การเก็บข้อมูลจากสิ่งรอบตัวหรือประสบการณ์ที่เราพบเจอในอดีตหรือเมื่อวานหรือเมื่อกี้ที่พึ่งผ่านไป เรียบเรียงสังเคราะห์ข้อมูลและลำดับเหตุการณ์เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อ

ภาษาเขียนกับภาษาพูดก็แตกต่างกันหากเราเอาภาษาพูดมาเขียนก็จะทำให้ผู้อ่าน รู้สึกไม่เป็นทางการมากนักแต่หากเราเขียนเนื้อหาที่เป็นทางการภาษาทางการเป็นเรื่องสำคัญสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องสร้างแรงบันดาลใจในการทำทุกอย่างเพราะเวลาหลายครั้งเราอาจอยู่ในช่วง Burn Out หมดกำลังใจหมดแรงบันดาลใจในการทำบางสิ่งนั้นจะส่งผลให้เราไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร

ดังนั้นถามตัวเองทุกครั้งว่าเราทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นไปเพื่ออะไรกันแน่ หากมั่นใจว่ามีประโยชน์และส่งผลกระทบให้เราเป็นคนที่มีคุณภาพก็อย่ามัวนั่งเหงาหรือเศร้าหมดแรง ลุกขึ้นลงมือทำ

พอทำเสร็จได้ผลลัพธ์ค่อยมานั่งเหงาต่อก็ไม่มีใครมาว่าอะไรครับ ^^