posttoday

จิตวิญญาณในการทำงาน

17 ธันวาคม 2563

คอลัมน์ Great Talk

หากเราทำการสิ่งใดปราศจากจิตวิญญาณในการเคลื่อนไหวก็ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์เครื่องแรงแต่ไร้คนขับ

เวลามีคนมาพูดคุยกับผมแล้วบ่นเรื่องงานที่ทำเช่น เบื่อมาก ไม่อยากทำงาน ไม่มีความสุข มีปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้ ผมมักตอบไปว่า หากไม่มีความสุขให้ออกจากสิ่งที่เป็นต้นเหตุ หาเหตุให้เจอ เช่น งานนี้ตนเองไม่ได้รักไม่ได้ชอบ ให้หางานใหม่

หากไม่ชอบเจ้านายด้วยเหตุผลใดๆ ให้ขอพูดคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อปรับแก้ทั้งสองฝั่ง อาจเป็นเราที่เข้าใจผิดมาตลอดหรือเจ้านายเราอาจเข้าใจเราผิดไปบางประการ

หากเป็นปัญหาเพื่อนร่วมงาน ก็ให้คุยกับเจ้านาย อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและร่วมหาแนวทางแก้ไข

หากทำทุกอย่างแล้วยังไม่พอใจ ให้ลาออกจากงานที่ทำซะ!

พอพูดถึงตรงนี้ หายคนมักจะอึ้งแล้วตอบมาว่าลาออกไม่ได้เพราะเหตุผลต่างๆนาๆ เช่น มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่ทำให้ต้องใช้จ่ายรายเดือนหรือทำงานนี้มานานแล้วไม่รู้จะไปทำอะไรต่อไป

ผมจะบอกว่าทุกอย่างล้วนเป็นข้ออ้างสำหรับที่จะทำให้ตัวเรามีความถูกต้องโดยชอบธรรม

มนุษย์เรามีเหตุผลมากมายที่จะอธิบายสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้นตั้งแต่การฆ่าสัตว์เพื่อเอามาดำรงชีวิตไปจนถึงการฆ่าคนเพื่อเงิน

มนุษย์เรามีเหตุผลมากมายที่จะเอาเปรียบผู้คนด้วยวิธีการต่างๆนาๆตั้งแต่ ให้เส้นสายในการทำงานไปจนถึงการโกงกิน ซึ่งทุกอย่างล้วนมีเหตุผลให้ผู้คนเหล่านี้ใช้วิธีการดังกล่าว

ประเด็นของเหตุผลในสมองมนุษย์นี่แหล่ะที่เป็นตัวที่ทำให้มนุษย์ไร้จิตวิญญานในการทำการใหญ่หรือการเล็กใดๆ เพราะมนุษย์คิดมากเกินไป

บางอย่างเราต้องใช้ใจและทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยค่าตอบแทนเป็นเรื่องทีหลัง

แน่นอนว่าค่าตอบแทนต้องมีเพราะเราเหนื่อยยากกว่างานใดจะสำเร็จเพราะเราไม่ได้กินหินกินหญ้าที่หาได้จากท้องถนน

แต่หากเราทำงานสิ่งใดโดยหวังเพียงผลตอบแทนสิ่งนั้นจะกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้เพราะกฏของพาเรโตบอกไว้ชัดเจนว่า คนส่วนใหญ่ 80% คิดเหมือนกัน มีเพียงคน 20% ที่คิดไม่เหมือนคนอื่น

ผมจึงเพิ่มกฏของตนเองไปอีกว่า 10% คือ คนที่คิดจะทำอะไรให้เปลี่ยนแปลงต่อโลกหรือประเทศชาตินี้และมีเพียง 1% เท่านั้นที่จะทำได้

ดังนั้นจิตวิญญาณของการทุ่มเทเป็นเรื่องสำคัญจงมุ่งมั่นและทุ่มเท อดทนพยายาม

ความหอมหวานย่อมมีมาถึงเราสักวัน