posttoday

รักชาติ...ต้องช่วยกันเอาประเทศออกจากปัญหา

16 พฤศจิกายน 2563

คอลัมน์ เศรษฐกิจรอบทิศ

ช่วงนี้ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดเหมือนผมหรือไม่ที่เห็นว่าทำไมบ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยปัญหาต่าง ๆ ที่แต่ละวันจะมีอะไรรุ้มเร้าเข้ามาจนไม่อยากจะไปรับรู้อะไรทั้งสิ้น ปกติจะเป็นคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองหลัง ๆ แทบไม่อยากเปิดทีวีหรือมือถือเลือกที่จะไปดูรายการประเภทหนัง-ละครน้ำเน่าแต่จิตสำนึกบอกว่าชีวิตต้องอยู่กับโลกความเป็นจริง เดี๋ยวนี้สามารถทำใจให้เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ ชอบ-ไม่ชอบฝ่ายใด ใครคิดอะไรก็พยายามเข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงคิด  อย่างนั้น บางคนนอกจากไม่ช่วยยังไปทำให้เกิดปัญหาอย่างกรณีประธานชวน หลีกภัย ที่เชิญคนที่เป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมืองออกมาช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งดันไปเสียดสีว่าเป็นพวกคนแก่เอาไป “ดองเค็ม” ซึ่งผมก็พยายามมองในด้านดีว่าเขาอาจป่วยจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแยกแยะว่าอะไรดี-อะไรไม่ดี

ลองมาจาระไนว่าปัญหาของบ้านเมืองขณะนี้มีอะไรบ้างเพื่อที่จะรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหนจะได้ช่วยกันเอาประเทศออกจากปัญหา ขอเริ่มด้านการเมืองที่วุ่นวายคนในพรรครัฐบาลเขาเล่นเกมส์อะไรกันอยู่เห็นได้จากนายกรัฐมนตรีและพรรคพปชร. มีการผลักดันให้รัฐสภาพิจารณาญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งมีหลายร่าง  หากอยากอยู่นาน ๆ ก็ให้ไปตั้ง “สสร.” แค่สรรหาก็เป็นเดือนแล้วยังต้องออกไปรับฟังเสียงประชาชนแล้วค่อยพิจารณาเสนอร่างรัฐธรรมนูญแค่นี้ก็เตะถ่วงได้เป็นปีหากรวมต้องทำประชามติก็ยังต้องใช้เวลาอีกยาว แต่ที่ไม่เข้าใจอยู่ดี ๆ ส.ว. 48 คน ซึ่งพลเอกประยุทธ์ฯ ตั้งมากับมือบวกกับส.ส.จากแกนรัฐบาลอีกจำนวน 27 คนซึ่งล้วนเป็นเบอร์ต้น ๆ กลับออกมาขวางให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่ ตรงนี้จะให้ตีความอย่างไรว่าทำไมจึงสวนทางกับนายกฯ หรือบารมีบิ๊กตู่ลดลงแล้วเกี่ยวข้องกับเสถียรภาพการขับเคลื่อนประเทศในยามวิกฤต

การเมืองนอกสภาก็ไม่เบาแบ่งเป็น 2 กลุ่มชัดเจนเป็นพวกกลุ่มราษฎร์และกลุ่มเสื้อเหลืองขยายไป เกือบทั่วประเทศ ภาพเก่า ๆ แบบในอดีตที่ทำร้ายประเทศเกือบพังยับเยินกลับมาหลอกหลอนอย่างเช่นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชมีกลุ่มคนออกมาขับไล่คุณธนาธรฯ เป็นแค่หนังตัวอย่างต่อไปใครมีความเห็นไม่ตรงกันก็ต้องขับไล่อย่าลืมว่าขัดแย้งครั้งนี้มีเด็ก-เยาวชนจำนวนมากเข้ามาร่วมขาดทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์แม้แต่พระ-เณรยังไปร่วมชุมนุมการเมืองออกมาชูสามนิ้วซึ่งธรรมวินัยไม่ได้ระบุว่าผิดเพราะสมัยพุทธกาลคงไม่มีกรณีเช่นนี้ ถึงขณะนี้ไม่รู้ว่าม็อบจะไปจบตรงไหนสมัยเสื้อเหลือง-เสื้อแดงเล่นกันสิบปีตายเจ็บเป็นร้อย แต่บิ๊กป้อมชี้ว่าช่วงนี้ม็อบอ่อนแรงหรือเป็นช่วงเด็กสอบหรือเป็นการพักยกคงไม่จบง่าย ๆ การสมานฉันท์ควรมีการลดโทษหากไม่ร้ายแรงก็ควรมีกฎหมายอภัยโทษแบบมีเงื่อนไขเป็นการแสดงเจตนาว่ารัฐบาลต้องการยุติความขัดแย้ง

ลองมาดูปัญหาเศรษฐกิจเกี่ยวกับปากท้องประชาชนมีใครเถียงไหมว่าเศรษฐกิจไทย “No Problem” รัฐบาลออกแคมเปญโค้งสุดท้ายกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยผ่านโครงการคนละครึ่งเฟสแรกต้องลงทะเบียน 2 รอบจึงเข้าเป้าใช้เม็ดเงิน 30,000 ล้านบาท อีกโครงการหนึ่งคือ “ช็อปดีมีคืน” จะทำให้มีเงินหมุนเวียนแสนกว่าล้านบาทมีนักวิชาการออกมาติงว่าจะทำให้คนไทยติดนิสัยได้อะไรฟรี ๆ และเป็นการชักชวนให้คนออกมาซื้อของที่ไม่จำเป็นหรืออยู่บ้าน    ไม่เป็นต้องไปเที่ยวทั้งที่ไม่ค่อยจะมีสตางค์ เรื่องพวกนี้สอดคล้องกับนิสัยของคนไทยเราอยู่แล้วเรื่องช็อปเรื่องเที่ยวขอให้บอกเงินไม่มีก็ไปรูดมาใช้ก่อนแล้วค่อยผ่อนทีหลัง ที่แน่ ๆ ชาวบ้านสนใจแห่กันออกมาลงทะเบียนเข้าใจว่าคงจะมี    เฟส 2 ส่งท้ายรับปีใหม่ อย่างไรก็ตามกำลังซื้อในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กลับมาเหมือนเดิมอาจเป็นเพียงการประคองตัวเนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูงถึงแม้ส่งออกหรือการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้นแต่ยังอยู่ในโซนติดลบตรงนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะแก้กันอย่างไรเป็นปัจจัยภายนอกที่ต้องหาทางออก

อยากรู้ว่าเศรษฐกิจของไทยมีปัญหามากน้อยเพียงใดแบงค์ชาติ (ธปท.) ระบุว่าจีดีพีปีนี้ติดลบร้อยละ 8 แต่ “IMF” วิเคราะห์ว่าอาจหดตัวดีขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.1 ภาคที่น่าเป็นห่วงคือท่องเที่ยวซึ่งมีมูลค่าอยู่ในระบบเศรษฐกิจสูงเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปถึงร้อยละ 80 มีผลต่อจีดีพีถึงร้อยละ 9.6 ที่สำคัญท่องเที่ยวทั้งโรงแรม ร้านอาหาร รถทัวร์ สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ มีการจ้างงานสูงถึงแม้ว่าตัวเลขทางการว่างงานอาจมีแค่ 7.5 แสนคนแต่อาจไม่สะท้อนข้อมูลที่แท้จริงเพราะยังมีแรงงานนอกระบบจำนวนมากรวมถึงคนที่ทำงานไม่เต็มเวลารวมกันแล้วอาจมีคนว่างงานและหรือเคยมีงานทำแต่ปัจจุบันไม่มีงานที่ได้รับผลกระทบสูงแบงค์ชาติระบุว่ามีจำนวนถึง 3.0 ล้านคน

นอกจากนี้ปัญหาที่แก้ยากที่สุดคือสภาพคล่องทางธุรกิจที่ทางสถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้ไปก่อนหน้านี้พอครบกำหนดพบว่าคุณภาพสินเชื่อทั้งธุรกิจและครัวเรือนที่เข้าโครงการจำนวนครึ่งหนึ่งอาจต้องยืดหนี้ออกไปอีกเป็นการสะท้อนความอ่อนแอของภาคธุรกิจและประชาชน ต้องยอมรับว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ  มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันทั้งในประเทศและประเทศคู่ค้าซึ่งเศรษฐกิจล้วนบอบช้ำอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคร้าย เศรษฐกิจทั่วโลกทรุดตัวธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในช่วงประคองตัวหรืออาการร่อแร่ที่เจ๊งไปก็มากมีคนตกงานมากมายทำให้ดีมานด์ของโลกหดตัวหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้น กรณีไทยมีของแถมจากวิกฤตการเมืองทั้งในสภาและนอกสภาซึ่งลดทอนการแก้ปัญหาซึ่งเป็นโจทย์ยากอยู่แล้วให้หนักขึ้นทำให้การฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น

เห็นไหมครับ...ที่ยกมาเป็นเพียงบางตัวอย่างของปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามาเศรษฐกิจก็หนักหนาแทบเอาตัวไม่รอดยังมาเจอวิกฤตม็อบที่กลายเป็นกลุ่มสีเจอกันไม่ได้นับวันจะสร้างความแตกแยก อีกทั้งนักการเมืองหรืออดีต   เทคโนแครตที่ลอกคราบเป็นนักการเมือง “ผูกขาดการรักชาติ” คนอื่นเห็นต่างไม่ได้จะอยู่เป็นอนุเสาวรีย์รวมถึงพวกที่เก่งแต่ปากแทนที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหากลับมาป่วนเสียเองล้วนเป็นปัจจัยทำให้ไม่สามารถเอาประเทศออกจากปัญหาได้ชาวบ้านอย่างเราทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องทำใจ “กัมมุนา วัตตติ โลโก” สัตว์โลกทั้งหลายต้องเป็นไปตามกรรม...สาธุครับ

( สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์  www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat )