posttoday

ผีน้อยหนีตายไวรัส...นักรบแรงงานต้อนรับกลับบ้าน

09 มีนาคม 2563

“ผีน้อย” แรงงานไทยเข้าเมืองผิดกฎหมายของประเทศเกาหลีใต้มีมานานแล้วเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศต่างๆ รวมกันมีประมาณ 3.913 แสนคน

แต่ละปีส่งเงินกลับบ้านผ่านสถาบันการเงินประมาณ 1.3 – 1.4 แสนล้านบาทยังไม่รวมเงินส่งผ่านนอกระบบที่เรียกว่า “โพยก๊วน” หรือฝากมากับพวกทัวร์

จำนวนตัวเลขว่าคนไทยไปทำงานต่างประเทศแบบหลบๆ ซ่อนๆ มีจำนวนเท่าไรไม่ชัดเจน ประเทศไทยมีนโยบายส่งเสริมให้คนไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง

ในปี พ.ศ.2563 ตั้งเป้าที่จะส่งออกแรงงานไทยจำนวนหนึ่งแสนคน ประเทศที่มีแรงงานไปทำงานมากคือเกาหลีใต้รองลงไปเป็นประเทศไต้หวัน, มาเลเซีย, อิสราเอล, สิงคโปร์, ฮ่องกง บรูไน ฯลฯ

ผีน้อยเป็นศัพท์ที่รับรู้กันทั่วไปว่าหมายถึงเป็นคนไทยที่แอบแฝงไปกับทัวร์ลักลอบทำงานผิดกฎหมายทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ คนไทยมีการหลบหนีเข้าเมืองมากทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่เกาหลีมีความเข้มงวดเพราะทัวร์ไทยก่อนหน้านี้ไป 70 คนกลับมาไม่ถึง 20 คนบางทีไม่เหลือใครเลยทำให้คนที่จะไปเที่ยวจริงเข้าประเทศยาก ไปด้วย

อันที่จริงศัพท์นี้รู้กันมานานแม้แต่ผมเคยเขียนบทความในโพสต์ทูเดย์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 อีกทั้งมีรายงานการศึกษามากมาย

การที่จัดทำแผนป้องกันแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ได้นำแรงงานไทยที่ไปทำงานในประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้ามาไว้ในแผนแสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ของการบูรณาการของแต่ละกระทรวงเกี่ยวกับแรงงานผิดกฎหมายที่เกาหลีใต้กระทรวงแรงงานรู้เรื่องนี้ดีสมัยพลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรัฐมนตรีว่าการฯ เคยบินไปเจรจาที่กรุงโซลเพื่อขอให้แก้กฎหมายคนเข้าเมืองและนิรโทษกรรมแรงงานคนไทยผิดกฎหมาย แต่ดูเหมือนว่าไม่เป็นผล

พอมีปัญหาแพร่ระบาดของโรคทางการเกาหลีใต้จึงออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ผีน้อยออกนอกประเทศได้ โดยไม่มีการแบล็คลิสต์จนถึงปลายเดือนมิถุนายน จากนั้นต้องเสียค่าปรับประมาณ 20 ล้านวอน หรือ เป็นเงินไทยราว 75,000 บาทแต่ลดหลั่นตามระยะเวลาที่ “Over Stay”

“ผีน้อย” มีจำนวนเท่าใดตัวเลขไม่ค่อยชัดเจนคาดว่าปัจจุบันน่าจะมีประมาณ 152,439 คน ขณะที่ไปทำงานถูกกฎหมายประมาณ 57,470 คน แรงงานไทยผิดกฎหมายมีการทำเป็นกระบวนการมีเอเย่นต์ตัวแทนอยู่ในประเทศไทยเมื่อติดต่อกันแล้วก็จะซื้อตั๋วไปกับทัวร์พอผ่านตม.มีนายหน้าชาวเกาหลีมารับที่สนามบิน

หากเป็นผู้ชายส่วนใหญ่จะไปอยู่ตามสวนหรือไปอยู่ในฟาร์มเกษตรรวมถึงเลี้ยงปศุสัตว์ไปทำโรงงานต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอีหรืองานที่ต้องใช้แรงงานซึ่งคนเกาหลีไม่ทำ หากเป็นเพศหญิงส่วนใหญ่ไปเป็นแม่บ้าน, งานเสริมสวย, สปา, ทำเล็บ หรือร้านซักผ้า งานยอดนิยมที่คนไทยชอบ คือ หมอนวดมีทั้งนวดแบบไทยและนวดแบบเกาหลีที่ล่อนจ้อนทั้งคนนวดและคนถูกนวด ผู้จัดการคุมส่วนมากเป็นผู้หญิงเรียกว่า “มาดาม”

เหตุผลที่คนไทยชอบไปทำงานที่เกาหลีใต้แม้แต่มีไวรัสโควิดระบาดส่วนใหญ่ก็ไม่กลัวสู้ตายไม่ยอมกลับบ้านเพราะค่าจ้างสูง หากคนทำงานใช้แรงงานทั่วไปวันละ 2,000 บาทตกเดือนหนึ่งได้ 4 – 5 หมื่นบาท หากเป็นหมอนวดจะได้สูงประมาณเจ็ดหมื่นกว่าบาทไปถึงแสนขึ้นไปอยู่กับว่าจะนวดสไตล์ไหน

นายจ้างเกาหลีชอบคนไทยเพราะค่าจ้าง ถูกกว่าแรงงานจีนไม่งอแงและบริการดี แรงงานไทยที่ทำงานในเกาหลีใต้โดยเฉพาะพวกผีน้อยอยู่กันเป็นกลุ่มมีไลน์แลกเปลี่ยนข้อมูลนายจ้างและทางหนีทีไล่มีการช่วยเหลือกัน

แหล่งที่ชุมนุมมักเป็นโบสถ์คริตส์มีสาธุคุณสอนภาษาให้ฟรีแต่จะเป็นโบสถ์แบบนิกายซินซอนจีซึ่งเป็น “Church of Jesus” หาสมาชิกแบบปิดลับโดยไม่เปิดเผยตัวตนกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค

ช่วงที่ผมศึกษาผีน้อยยังไม่มีเรื่องพวกนี้จึงไม่ทราบว่าเกี่ยวกันหรือไม่ คนไทยที่แอบเข้าไปทำงานเหล่านี้ใช่ว่าจะอยู่กันแบบสุขสบายไปไหนก็ต้องคอยระวังเพราะทางการเกาหลีใต้ปราบปรามอย่างจริงจัง

บางรายเล่าให้ฟังว่าถึงแม้จะขอกลับประเทศก็ไม่ใช่ง่าย นอกจากเจอค่าปรับยังเหมือนเป็นอาชญากรคุมตัวไปสนามบินไม่ต้องผ่านช่องตม.หรือ ขั้นตอนตามปกติเขาจะมีห้องสำหรับกักตัวไว้มีการคุมตัวจนไปถึงหน้าเกทประตูเครื่องบิน

กลับมาที่ประเทศไทยการแห่กลับบ้านหนีตายของแรงงานผีน้อยกลายเป็นประเด็นเพราะประเทศเกาหลีใต้เป็นแหล่งติดเชื้อโควิด-19 รองจากจีนล่าสุดมีผู้ติดเชื้อมากกว่าหกพันคนจำนวนคนรักษาหายกับคนตายพอๆ กัน ที่กลับมาถึงประเทศไทยแล้วมากกว่าห้าพันกว่าคนและจะทะยอยกลับมาเป็นหลักพัน

ส่วนใหญ่มาจากเมืองแทกูและจังหวัดบ็องซังซึ่งเป็นพื้นที่ระบาดสูงสุด ในโซเซียลมีเดียมีกระแสต่อต้านมีการตั้งเป็นชมรมมีทนายคนหนึ่งออกทีวีโต้ตอบกับตัวแทนผีน้อย

คำถามที่แรงงานเกาหลีถามคือ “รังเกียจเขาเรื่องอะไร?” พวกเขาเป็นคนไทยก็ต้องกลับมาเมืองไทย บางคนบอกว่าไปเข้าเมืองผิดกฎหมายเป็นการเห็นแก่ตัวพอกลับบ้านใช้งบประมาณเงินภาษีมาดูแล อย่าลืมว่าแต่ละปีพวกเขาส่งเงินมาไม่ต่ำกว่าปีละ 36,000 ล้านบาท

เงินพวกนี้ส่งกลับมาให้ครอบครัวใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจหากเอาไปซื้อสินค้าเฉพาะค่าภาษี VAT ก็ปาเข้าไปมากกว่า 2,500 ล้านบาทต่อปี

ต้องเข้าใจว่าหลายประเทศส่งเสริมการส่งออกแรงงาน เช่น ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, พม่า รวมถึงไทย เพราะเป็นการสร้างงานและมีรายได้ส่งกลับมาเป็นจำนวนมากแต่ละปีมีมูลค่าประมาณแสนกว่าล้านบาทมากกว่า มูลค่าส่งออกข้าวทั้งปีด้วยซ้ำไป

พวกที่ไปทำงานต้องถือเป็นนักรบแรงงานที่ไปทำงานหนักถึงแม้ส่วนใหญ่จะเข้าไปทำงานแบบไม่ถูกกฎหมายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่เขาไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่สำคัญเป็นคนไทยที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ

เมื่อต้องการกลับบ้านหนีโรคร้ายต้องให้กลับมาเพราะพวกเขาเป็นคนไทยจะไปให้อยู่ที่ไหน

สำหรับประเด็นป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ต้องมีมาตรการกักกันคุมเข้มไม่ใช่ให้ไปพักกับตัวเองที่บ้าน 14 วันซึ่งผมบอกได้ว่าได้ผลไม่เต็มที่บ้านคนจนๆ หลังเล็กๆ ในชนบทจะอยู่กันอย่างไร

อีกทั้งนิสัยคนไทยขาดวินัย เห็นได้จากพวกที่กลับจากเกาหลีใต้ให้ กักตัวอยู่ในบ้านยังไปโพสต์รูปเซลฟี่ลงเฟสบุ๊คไปเที่ยวหัวหินบ้าง ไปกินบุฟเฟ่ต์หมูย่างเกาหลีหรือไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ต้องมีมาตรการทางกฎหมายทั้งจับและปรับให้หนัก

จนถึงขณะนี้ก็ไม่ทราบว่ามาตรการดูแลพวกที่ไปประเทศมีความเสี่ยงนอกจากเกาหลีใต้แล้วก็ยังมีจีน, อิหร่าน อิตาลี, ฮ่องกง, มาเก๊าและประเทศต่างๆ อีกมากมายจะดูแลกันอย่างไร ไม่ใช่กักตัวแต่คนไทยสำหรับคนต่างชาติปล่อยให้เข้ามาแพร่ระบาด มาตรการต่างๆ ต้องชัดเจนแค่ที่หน้ากากอนามัยหรือเจลล้างมือก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว

ส่วนสถานที่กักกันโรคหากแพร่ระบาดหนักๆ จะวางแผนกันอย่างไร ห่วงแต่ท่องเที่ยวซึ่งไม่เหลืออะไรให้ต้องห่วงอยู่แล้วทราบว่าทัวร์จีนหายไปร้อยละ 90 และอื่นๆ หายไปเกินครึ่งให้เรื่องจบค่อยไปส่งเสริมกันใหม่....แต่ตอนนี้ต้องนึกถึงสุขภาพ คนไทยไว้ก่อนครับ

( สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat )