posttoday

ภาวะเช่นนี้ทำได้แค่...ยิ้มสู้วิกฤต

17 กุมภาพันธ์ 2563

ภายใต้สภาวะแทรกซ้อนทั้งปัจจัยนอกประเทศและปัจจัยในประเทศที่ประดากันเข้ามาเล่นงานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของไทยจากเดิมปีที่แล้วคาดว่าน่าจะอยู่ในระดับต่ำสุดทั้งส่งออกและนำเข้าขยายตัวติดลบการลงทุนเอกชนไม่มาตามนัด กำลังการผลิตอุตสาหกรรมลดลง การจับจ่ายใช้สอยเงียบบางห้างลด 50% คนยังกร่อย

ภายใต้สภาวะแทรกซ้อนทั้งปัจจัยนอกประเทศและปัจจัยในประเทศที่ประดากันเข้ามาเล่นงานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของไทยจากเดิมปีที่แล้วคาดว่าน่าจะอยู่ในระดับต่ำสุดทั้งส่งออกและนำเข้าขยายตัวติดลบการลงทุนเอกชนไม่มาตามนัด กำลังการผลิตอุตสาหกรรมลดลง การจับจ่ายใช้สอยเงียบบางห้างลด 50% คนยังกร่อย

หลักๆ มาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างปธน.ทรัมป์กับคุณสี จิ้นผิง พอเข้าปีนี้คิดว่าจะฟื้นตัวทั้งรัฐและเอกชนต่างปรับตัวเลขจีดีพีให้สูงกว่าปีก่อน แต่มาเจอหลายวิกฤตเริ่มจากงบประมาณรายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาทติดหล่มล่าช้า 5 เดือน ผ่านพ.ร.บ.ใช้เงินได้เพราะฝ่ายค้านยอมปล่อยแต่ไม่เข้าร่วมพิจารณา คาดว่าจีดีพีอาจขยายตัวได้ร้อยละ 2.0 หรือต่ำกว่าภาวะเช่นนี้ก็ถือว่าเก่งแล้ว

วันนี้ปัจจัยที่ช็อคกันทั้งโลกแบบไม่คาดฝันคือไวรัสโคโรนา ซึ่งองค์กรอนามัยโลกตั้งชื่อให้ใหม่ “ไวรัสโควิด-19” ฆ่าชีวิตคนไปน่าจะทะลุ 1,200 ศพผู้ติดเชื้อทั่วโลกน่าจะใกล้ๆ 50,000 คน ถึงวันนี้แนวโน้มน่าจะถึงจุดฟีคสูงสุดแต่ก็ไม่มีองค์กรใดกล้าฟันธงว่าจะจบเมื่อใด แต่ที่แน่ๆ ภาคท่องเที่ยวไทยรับเละคาดว่าเฉพาะไตรมาสแรกนักท่องเที่ยวจีนจะหายไป 2.4 ล้านคนเป็นเม็ดเงินไม่น้อยกว่า 1.2 แสนล้านบาท ความวิตกกังวลลามไปถึงการเดินทางทั่วโลกต่างคนต่างกลัวไม่ไปไหน สนามบินสุวรรณภูมิที่ผ่านมาตม.ที่เคยคิวยาวเลื้อยลงมาถึงบันไดด้านล่างขณะนี้ว่างไม่ต้องรอคิว

ด้านการเปิดตัวอีเว้นท์และงานแสดงสินค้าบอกเลิกไปหลายงาน เช่น การแข่งขันกอฟล์ระดับโลกที่จะจัดที่พัทยาปลายเดือนขณะที่งาน “บางกอกเจมส์” ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเป็นงานใหญ่ปลายเดือนนี้ลงทุนไปเยอะเลิกไม่ได้คงต้องลุ้นเดินหน้าต่อ

ผลกระทบที่มีจากไวรัสที่ตอนนี้เรียกว่า “ไวรัสโควิด-19 เอฟเฟค” กระจายตัวเข้าไปในระบบเศรษฐกิจมากกว่าที่ประเมินไว้ ท่องเที่ยวครึ่งปีแรกรายได้น่าจะหายไปไม่น้อยกว่า 3 แสนล้านเพราะไม่ใช่แค่คนจีนแต่ชาติอื่นหากใจไม่ถึงจริงๆ คงไม่กล้าขนาดคนมาเลเซียที่เข้าเที่ยวหาดใหญ่ยังลดลง แม้แต่เรือสำราญจอดลอยเท่งเต้งกลางทะเลหลายลำที่ญี่ปุ่นมีคนติดเชื้ออยู่ในเรือเป็นร้อยขึ้นบกไม่ได้ อีกลำชื่อ “เวสต์เตอร์ดัม” จะเข้ามาเทียบท่าแหลมฉบังทางการไทยไม่ให้เทียบเพราะกลัวโรคระบาดแต่สามารถไปเทียบท่าสีหนุวิลล์ที่กัมพูชา

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่พบคนติดเชื้อเป็นระดับต้นๆ ของโลกขนาดควบคุมโรคได้ดีแต่บางประเทศ เช่น อิลราเอลและเกาหลีใต้แนะนำให้พลเรือนของตนเองเลี่ยงการเดินทางไปประเทศที่พบการติดเชื้อร่วมถึงประเทศไทยและระงับการออกวีซ่าเดินทางไปจีน ฮ่องกงและมาเก๊า

ผลที่ตามมาจากภาคท่องเที่ยว คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงแรม รีสอร์ท รายได้หายไปเกือบ 3.0 หมื่นล้านบาทเริ่มเห็นสัญญาณหนี้เสียมีหนี้ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคิดเป็นร้อยละ 13 สำหรับธุรกิจค้าปลีกรายได้หายไปอย่างน้อย 2.84 ล้านบาท ร้านอาหารและสถานที่นักท่องเที่ยวรายได้รวมกันหายไปไม่น้อยกว่า 5.0 หมื่นล้านบาท การประเมินความเสียหายที่มีต่อเศรษฐกิจของไทยคงต้องไปดูผลกระทบจากจีนเนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงกับจีนค่อนข้างสูง การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนปีที่แล้วทำได้ร้อยละ 6.1 ถือว่าแย่แล้ว

ปีนี้ผลจากไวรัสกระทบทุกภาคส่วนหมดและกระจายไปในเมืองใหญ่ๆ ทั้งกิจกรรมด้านการผลิต การจับจ่าย ใช้สอย การนำเข้าชะลอตัว จีดีพีอาจขยายตัวได้แค่ร้อยละ 5 หรือเลวร้ายสุดๆ อาจจะเป็นที่ร้อยละ 4.7 กระทบไปถึงประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอาเซียนซึ่งเป็นลูกค้าส่งออกของไทยสัดส่วน 1 ใน 4 ของการส่งออก

สำหรับประเทศไทยนักท่องเที่ยวจีนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.8 ของจีดีพีตรงนี้กระทบจังๆ ที่เริ่มเห็นสัญญาณคือภาคการส่งออกเนื่องจากจีนเป็นลูกค้าอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนร้อยละ 11.85 ของการส่งออกทั้งหมด ออเดอร์เริ่มหายไปถึงมีแล้วก็ขอให้ชะลอการส่งออกปีที่แล้วส่งออกไปจีนติดลบร้อยละ 3.78

ปีนี้คาดว่าหนักกว่าโดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ไก่สด ผลไม้สด ฯลฯ ด้านกลับกันจีนเป็นผู้ซัพพลายรายใหญ่ถือเป็น “Global Supply Chain” จะส่งผลกระทบต่อชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ไทยต้องนำเข้ามาประกอบ หลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องสต๊อกเหลือน้อยหากถึงสิ้นเดือนนี้อาจเห็นโรงงานใหญ่ต้องปิดหยุดงานชั่วคราว ข้อมูลของการท่าเรือแห่งประเทศไทยคาดว่าไตรมาสแรกปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าลดลงเหลือประมาณ 2.337 ล้านตู้/TEU ลดลงร้อยละ 2.82 รายได้หายไปร้อยละ 3

ความกังวลของภาคธุรกิจสะท้อนจากดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนกุมภาพันธ์ ของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และพันธบัตรปรับลดต่ำสุดในรอบ 4 ปี เป็นสภาวะอยู่ในโซนซบเซา (Bearish) ขณะเดียวกันดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดต่ำสุดในรอบ 6 ปี กล่าวได้ว่าผลกระทบไตรมาสแรกนี้หนักหนามากและไม่รู้ว่าจะไปสิ้นสุดเมื่อใดความเชื่อมั่นกลับจะฟื้นกลับมา “ผีซ้ำด้ามพลอย” ที่จะตามมาคือปัญหาภัยแล้งคาดว่าจะหนักสุดบางจังหวัดถึงขั้นอาจมีผลกระทบต่อน้ำอุปโภคบริโภคแต่กระทรวงพาณิชย์ยังยืนยันว่าส่งออกข้าวไทยกระทบ จิ๊บจ๊อยลดลงแค่ร้อยละ 1 คาดว่ายังส่งออกได้ใกล้เคียงปีที่แล้วประมาณ 7.5 ล้านตัน

หากดูจากปัจจัยที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจจนถึงครึ่งปียังไม่เห็นแสงสว่างในอุโมงค์ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือการว่างงานโดยเฉพาะจากผู้จบการศึกษาใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในช่วงหลังสงกรานต์

ในเวลาเช่นนี้คงทำอะไรไม่ได้มากนอกจาก “ยิ้มสู้วิกฤต” ต้องผ่าฟันไปให้ได้ไม่มีใครช่วยได้ มาตรการของรัฐบาลเป็นเพียงน้ำจิ้มหรือยาหอมส่วนใหญ่เป็นมาตรการทางการคลังภาวะเช่นนี้ถึงลดภาษีแต่ก็ไม่มีภาษีจะเสียอยู่ดี มาตรการทางการเงินลดดอกเบี้ยของสถาบันการเงินก็โอเคช่วยได้บ้าง

แต่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเขาอยากได้พักหนี้ 3 เดือนโดยไม่ติดอยู่ในเครดิตบูโรตรงนี้ช่วยได้เยอะ ด้านการเมืองอย่าให้เป็นภาวะแทรกซ้อนเสถียรภาพรัฐบาลต้องประคองให้ดี ถอดบทเรียนที่เกิดที่โคราชอย่าให้เกิดซ้ำสอง

คนที่จ้องเอาเรื่องแบบไม่มีเหตุผลที่บิ๊กแดงบอกว่า “รับผิดชอบด้วยน้ำตาแต่ไม่ลาออก” ต้องเข้าใจว่าเป็นความผิดส่วนบุคคลแต่ต้องไปสังคายนาล้างอิทธิพลล้างผลประโยชน์ธุรกิจเงินทอนในกองทัพ เข้าใจว่าคงมีอีกหลายเรื่องและไม่ได้อยู่ในกองทัพบกแห่งเดียว

หากต้องลาออกเพราะกรณีนี้คงต้องมีผบ.ทบ.สำรองไว้เป็นโหลก็ยังไม่พอ อย่างกรณีส.ส.เสียบบัตรแทนกันทำไมไม่เรียกร้องให้ประธานรัฐสภาหรือส.ส.ลาออกทั้งสภาผู้แทนราษฎร์เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ช่วงเวลานี้เป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศเกี่ยวข้องกับปากท้องประชาชน การเมืองไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้านเล่นกันน้อยหน่อย พูดจ้อลดลง

อย่ามีโครงการฝันกลางวัน เดินหน้าทำงานแก้ปัญหามากๆ....คงดีนะครับ

(สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat)